24 April 2009

ความทรงจำ...ที่ฉันภูมิใจ

(ความทรงจำ...ที่แสนภูมิใจ)
ก่อนกลับบ้าน คุณแม่ท่านโทรมาถามว่าไปขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอสมาหรือเปล่า เราก็งงว่ามามุกไหน ปกติก็ไปกลับบีทีเอสอยู่แล้ว แต่บีทีเอสหน้าบ้านยังไม่เสร็จ กระทั่งจะเข้าบ้านราวเที่ยงคืน พบว่าบนสถานีรถไฟฟ้าหน้าบ้านไม่เพียงแต่เปิดไฟสว่าง ยังมีคนอออยู่บนรถไฟฟ้า และแผ่นป้ายหน้าทางขึ้นสถานีรถไฟฟ้าหน้าบ้านเขียนไว้ "ความทรงจำ...ที่แสนภูมิใจ" อะไรฟระ!?!?
(บันไดลงไปยังเกาะกลางถนน)

(ทิวทัศน์จากรถไฟฟ้า ยามราตรี)
งานอะไรเนี่ยะ อย่างกะเขียนเรียงความตอนประถม เขาบอกว่าท่านผู้ว่ากรุงเทพมหานคร กำลังเดินทางมาเปิดงาน ...อะไรนะ เปิดงานเที่ยงคืนกว่าๆ เนี่ยะนะ!?!? ไม่ได้ละ ขอไปดูกะตา ว่าแล้วก็เปิดบ้าน ทิ้งของกองกะพื้น รีบออกมาร่วมแจมกะเขาในฐานะสื่อมวลชนจำเป็น
(ท่านผู้ว่าฯ กล่าวเปิดงาน)
ได้ความว่า วันนี้เป็นวันที่เขาพร้อมจะทดลองเดินรถแบบมีผู้โดยสารเป็นครั้งแรก หลังจากเริ่มดำเนินการทดสอบระบบอาณัติสัญญาณและระบบที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม - 12 เมษายน และเริ่มทดลองระบบการให้บริการแบบไม่มีผู้โดยสารตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 เมษายน และเพื่อให้มั่นใจได้ว่า จะเปิดให้ใช้ฟรี ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคมที่จะถึงนี้แน่นอน (ไปจนถึงวันที่ 12 สิงหาคม 2552 - วันแม่แห่งชาติ)
ที่สำคัญ ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่จะได้ร่วมข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอส หลังจากใช้เวลาก่อสร้าง (สถานี) มากว่า 3 ปี รวมระยะทาง 2.2 กิโลเมตร หรือสองสถานี คือ วงเวียนใหญ่ (S8) และ กรุงธนบุรี (S7)
(บนชานชลา)
หลังจากรอท่านผู้ว่าฯ เดินทางอย่างเลตเกือบตีหนึ่ง เหล่านักข่าวนอกจากจะรุมถ่ายภาพยังเสร่อสัมภาษณ์แบบไม่เกรงใจแขกคนอื่นที่มาร่วมงาน ท่านผู้ว่าฯ เองก็ดันรับมุกตอบคำถามผู้สื่อข่าวอย่างเมามันส์ ทั้งที่ก็เหหมือนในการกล่าวรายงานเปิดงาน ที่จะมีขึ้นอย่างเป็นทางการต่อไป สร้างความหงุดหงิดและร้อน แก่ผู้ร่วมงาน
กระทั่งท่านผู้ว่าขึ้นกล่าวเปิดงาน สื่อมวลชนก็เบียดบังเพื่อถ่ายภาพ ไม่สนว่าจะบังคนที่เขาเกรงใจไปยืนถ่ายภาพด้านหลัง และหัวกระบาลผู้มาร่วมงานหรือไม่ นี่ถ้าตามไปถ่ายภาพท่านผู้ว่าฯ ขี้ได้ ก็คงไป
(สถานีวงเวียนใหญ่)
ท่านผู้ว่าฯ สุขุมพันธุ์ บริพัตร กล่าวเปิดงานด้วยความตื้นตันแบบไม่ใช้โพย ว่าตอนหาเสียงบอกไว้ว่าจะเปิดเดินรถไฟฟ้าได้ในวันที่ 15 พฤษภาคม ตอนแรกก็มั่นใจ ใจชื้นเพราะผู้สมัครคนอื่นก็พูดว่าจะเปิดใช้ได้วันเดียวกัน แต่เมื่อมาเป็นผู้ว่าฯ ก็ต้องลุ้น เพราะมีปัญหาหลายอย่างให้จัดการ ไม่ใช่ง่ายๆ อย่างที่เห็น พอมาวันนี้ก็เริ่มเบาใจว่าวันที่ 15 พฤษภาคมนี้ใช้ได้แน่นอน ก็เหลือไปลุ้นอีกทีในวันที่ 15 นั่นแหละ
(รถไฟมาแล้ววว)
จากนั้นเป็นไฮไลต์ของค่ำคืน คือขึ้นไปบนชานชลาชั้น 3 รถไฟฟ้าก็ค่อยๆ ปรากฏจากความมืด จำนวน 4 ตู้ ขยายมาเพื่องานนี้โดยเฉพาะอีกหนึ่งตู้ สื่อมวลชน และแขกเกรื่อพากันรุมถ่ายภาพคู่กะรถไฟฟ้า ...เอ่อ.. มันต่างจากรถไฟฟ้าปกติตรงไหนหรอจ้ะ
(วิวจากบนรถไฟฟ้า กลางแม่น้ำเจ้าพระยา)
แล้วรถไฟฟ้าก็เคลื่อนออกไป แวะพักที่สถานีกรุงธนบุรี เพื่อให้เห็นสภาพยังไม่เสร็จแป๊บนึง ก่อนจะมุ่งตรงไปข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา สู่จุดหมายสถานีสะพานตากสิน พอมาถึงกลางแม่น้ำเจ้าพระยา รถไฟฟ้าก็เริ่มชะลอ และหยุดนิ่งอยู่บนกึ่งกลางแม่น้ำ แล้วไฟก็ดับลง เพื่อให้ได้เก็บภาพบรรยายกาศกลางแม่น้ำเจ้าพระยา ...แต่มืดตื๋อเลยอ่ะสิ จบข่าว!! เก็บภาพมาได้เท่าที่เห็นนั่นแหละ จากนั้นไฟจึงสว่าง และเริ่มเดินทางต่อ
เมื่อถึงสถานีสะพานตากสิน ก็ไม่เปิดให้ลง เพราะไม่รู้จะลงไปทำไม เพราะจะต้องกลับไปสู่สถานีวงเวียนใหญ่เช่นเดิม ว่าแล้วไปกี่นาที รถไฟฟ้าก็แล่นกลับไปยังจุดหมายปลาย อันเป็นสถานีต้นทางตามเดิม เลยถือโอกาสถ่ายภาพจากบนสถานี คู่กับบ้านข้าพเจ้าเป็นที่ระลึก หลังไหน เดากันนะ :)
(สถานีรถไฟฟ้าวงเวียนใหญ่ตอนตีหนึ่ง)
ส่งท้ายงานคืนนี้ ด้วยการรับประทานข้าวต้ม แต่ผู้เขียนหนึกลับเข้าบ้านก่อน เพราะร้อนเต็มทน เข้าบ้านก็นึกเสียดาย ว่าน่าจะไปหม่ำเสียหน่อย จะได้บันทึกไว้ว่า ได้หม่ำข้าวต้มบนสถานีรถไฟฟ้าเชียวนะ
ภูมิใจจริงๆ เพราะรอมาร่วมทศวรรษแล้ว

22 April 2009

Britain's got Susan Boyle


ผมชอบรายการนี้มาก ชอบทั้งออริจินัลอย่าง America's Got Talent มาจนถึง Britain's Got Talent ถ้าบังเอิญเปิดเจอพอดีในทรูวิชั่น ก็จะตามติด (แต่ไม่ได้ติดตาม) ต้องมีอะไรน่าตื่นเต้นให้ดูทุกทีสิน่า

11 เมษายนที่ผ่านมา ซีซั่น 3 ของ Britain's Got Talent ที่ฮือฮาเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีคุณป้า (จริงๆ ผมเรียกแค่น้า อา หรือพี่ก็ได้) Susan Boyle มาสร้างสีสันให้แก่รายการชนิดที่คนในฮอลล์ยืนปรบมือ รวมทั้ง 2 ใน 3 ผู้ตัดสินด้วย คนที่ได้ดูคลิปขำขำของป้าก่อนขึ้นและเมื่อแรกขึ้นเวทีก็คงอึ้งทันทีที่ได้ยินเสียงและลูกคอของป้าซู

ความมหัศจรรย์ที่สะกดคนดูทุกคน ทั้งในฮอลล์ หน้าจอทีวี และหน้าจอคอมพ์ (เพราะกำลังจะสร้างสถิติใหม่การคลิกชมโพสต์รายการนี้ผ่านทาง YouTube มากที่สุดในโลก!!!) นอกจากน้ำเสียงของป้าซูเองแล้ว ยังอยู่ที่สไตล์การร้อง และเพลงที่เธอเลือกร้อง I dreamed a dream อันเป็นหนึ่งในเพลงเด่นของละครเวทีเรื่องดังของอังกฤษ Les Misérables รวมทั้งความใสซื่อและอารมณ์ขันของป้าซูเอง

แค่จะบอกว่า เป็นหนึ่งในคนที่หลงไปกับมนต์สะกดของเธอ ..น้ำตาคลอ และขนลุก !!!

รับรองว่าเธอชนะแบบนอนมา เพราะเซอร์ไพรส์เช่นนี้ ไม่ได้หากันง่ายๆ

19 April 2009

โอซาก้า ภาษาไทย


ประเทศไทย ติดอันดับท๊อป 5 ของประเทศปลายทางการท่องเที่ยวของชาวญี่ปุ่น (แต่ปีนี้คงร่วงหล่นหายไป เพราะอะไรรู้ๆ กันนะ) ขณะเดียวกัน ชาวไทย ก็เดินทางไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นจำนวนมากเช่นกัน ดังนั้นภาษาไทย หรือคู่มือท่องเที่ยวไทย จึงมีความสำคัญในญี่ปุ่น ยกตัวอย่างโปรแกรมแปลภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาอื่นของ Nintendo DS ก็มีเวอร์ชั่นภาษาไทย เป็นหนึ่งใน 5 ภาษาที่เขาเลือกแปล

ที่บอกมาทั้งหมด มิใช่อะไรหรอกนะ เพราะตอนนี้ การท่องเที่ยวโอซาก้า เมืองท่าการค้า และเมืองใหญ่อันดับสองรองจากโตเกียว (เหมือนเชียงใหม่) เขาเปิดตัวเว็บไซต์ท่องเที่ยวโอซาก้าฉบับภาษาไทยเรียบร้อย http://www.osaka-info.jp/th/ ก่อนนี้ที่โอซาก้า คันไซ หรือเขตอื่นๆ ในญี่ปุ่น มักจะไม่ค่อยมีข้อมูลสนุกๆ ภาษาไทยมาให้ชาวไทยที่กำลังจะเดินทางได้เข้าใจกัน (เพราะส่วนใหญ่เป็นภาษาญี่ปุ่่น) จะมีมากมายก็แต่โตเกียวเมืองเดียว คราวนี้จึงไม่น้อยหน้าโตเกียวละ

ภายในเว็บไซต์มีข้อมูลพื้นฐานของโอซาก้า รวมทั้งแนะนำที่กิน ที่เที่ยว แหล่งช้อปปิ้ง ที่ต้องไปชม เทศกาลสำคัญตลอดปี มีให้ดาวน์โหลดไกด์บุ๊คด้วย

ที่เก๋ไก๋ของเว็บไซด์ เขามีทางลัดให้เลือก สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งจะเคยมาเที่ยว ผู้ที่มาแล้วมาอีก และผู้มากันเป็นครอบครัว แต่ถ้าเป็นผู้ที่มาจนเซ็ง ก็แนะนำให้ดูเหมือนกัน เพราะมีหลายที่หลายแหล่ง ที่คุณมือโปรอาจต้องเกาหัวว่าพลาดไปได้อย่างไรเช่นกัน ขาดก็แต่ข่าวอัพเดต เหตุการณ์ แหล่งกิน เที่ยว ช้อป หรือของเก๋ๆ ในโอซาก้าน่ะสิ คงต้องตามดูจากเว็บการท่องเที่ยวญี่ปุ่นเวอร์ชั่นไทย http://www.yokosojapan.org/
ไหนๆ ก็เขียนถึงโอซาก้าแล้ว มีข่าวตื่นเต้นคือ Universal Studio Japan เขาร่วมฉลองเทศกาลสงกรานต์เอาใจคนไทย โดยจะมอบเข็มกลัดสนู๊ปปี้ เพียงนำคูปองที่ได้รับจากบริษัททัวร์ในไทย หรือองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น ไปยี่นรับเข็มกลัดพิเศษนี้ ที่จะมอบให้ตั้งแต่วันที่ 6 - 26 เมษายนนี้เท่านั้น
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมที่ http://www.yokosojapan.org/event/mar09-05.html และเว็บไซต์ USJ http://www.usj.in.th/

18 April 2009

京都の春 花見

(วิหารหลักของศาลเจ้าคิโยมิซุ 清水寺)
หนีเรื่องเครียดๆ เซ็งๆ ของชีวิต สังคม และการบ้านการเมือง ด้วยการไปชมซากุระดีกว่าครับ
ทราบกันดีว่าดอกซากุระในญี่ปุ่น มีชื่อเสียงที่สุดในโลก (แหงล่ะ) เพราะนอกจากจะเป็นดอกไม้ประจำชาติ หากในช่วงต้นเดือนเมษายนเรื่อยไปตลอดทั้งเดือน ดอกซากุระจะเริ่มผลิบานไปทั่วประเทศญี่ปุ่น เมื่อตัดกับสีทึมทมึนของปากเขา รวมทั้งวัดวาอาราม และบ้าเรือนสไตล์ญี่ปุ่นโบราณ ก็ยิ่งดูขลัง นี่ยังไม่รวมถึงทุ่งดอกซากุระผลิบาน และเหล่าชาวญี่ปุ่นไปสังสรรค์ชมความงามของดอกซากุระ
(4ภาพบน: ศาลเจ้าชิอองอิง 知恩院)
(ซากุระในสวนมารุยามะ 円山公園)
ภาพทั้งหมดนี้ ไปขโมยจากคนญี่ปุ่นที่ใกล้ชิด (คิก คิก) ที่มีทริปชมซากุระเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี้เอง ที่กรุงเกียวโต บรรยายในบล็อกของเขาว่าวันที่ไป พยากรณ์อากาศบอกว่าจะมีเมฆมาก แต่ไหงสว่างจ้าขนาดนี้ล่ะ สรุปว่าบ้านเรากับบ้านเขา พยากรณ์ได้เพี้ยนไม่แพ้กัน
(เจดีย์ภายในศาลเจ้าคิโยมิซุ)
(เฮอันจิงกุ 平安神宮)
ปิดท้ายหวานแหวว ด้วยภาพเจ้าบ่าวและเจ้าสาวภายในศาลเจ้าเฮอัน หรือ Peaceful Shrine (สมชื่อ!) สีแดงของศาลเจ้า และชุดเจ้าสาว บนลานกว้าง และต้นซากุระสีชมพูอ่อน โรแมนติกสุดๆ ถ้าได้จับมือคนรักเดินชมสวนบ้างมีหวังต้องขอหนึ่งคิส :-)

17 April 2009

เรื่องเซ็งๆ

ไม่ใช่เรื่องการเมืองหรอก อันนั้นเบื่อมาก เอียนมาก แต่เหมือนถูกบังคับให้ต้องอยู่กับความเบื่อ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยอยากจะยุ่ง อยากจะเขียนถึงเลย แต่ก็กระหน่ำเข้ามาจนหลังๆ ต้องเขียนเพราะต้องการระบาย

ช่างเรื่องการเมืองเหอะ มาถึงเรื่องเซ็งจริงๆ ในตอนนี้ดีกว่า ผมไม่หวังว่าใครจะต้องเข้ามาอ่าน หรือใครจะต้องเห็นด้วย แต่อย่างที่บอก "เซ็ง!" ก็เลยอยากระบาย

ตลอดมา ผมถือว่าเรื่องรัก เรื่องเซ็กส์ หรืออะไรทำนองนี้ เป็นเรื่องส่วนตัว ระหว่างเขากับผม จะรักไม่รัก จะคบไม่คบ ก็เป็นเรื่องของผมและเขา ไม่ใช่เรื่องของใครคนอื่น แน่นอนว่าคนรอบข้าง หรือคนสนิทอาจเป็นคนที่เราขอคำปรึกษา หรืออีกหลายคน ก็อาจบอกกล่าว ให้ข้อมูล ตักเตือน ช่วยเหลือ ฯลฯ ซึ่งก็แค่นั้น สุดท้าย จะหัวหกก้นขวิด จะแห้ว หรือจะอะไร ก็เป็นเรื่องของผมและเขา ไม่ใช่เรื่องของ ผม เขา และคนอื่นๆ

วิธีการคบหาของหลายๆ คนก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็เนียนๆ ตีสนิทไปเรื่อย หยอดไปเรื่อย บางคนก็เริ่มจากเพื่อน จากพี่ จากน้อง ค่อยเป็นค่อยไป และบางคู่ ก็รักกันตั้งแต่แรกพบ และอีกหลายๆ คนก็เป็นรักข้างเดียว ทั้งหมดเป็นวีถีที่เกิดขึ้นกับการเริ่มต้นความสัมพันธ์ของคนสองคน

ถ้าแบบว่าเจอกันปุ๊บ ปิ๊งกันปั๊บ ก็ดีไป ไม่ต้องอะไรให้มากความ ก็ได้เริ่มต้นเรียนรู้กัน แต่แบบอื่นๆ แน่นอนว่าต้อง เป็นที่มาของคำว่า 'จีบ'

หลายเคส การจีบ ก็ต้องเริ่มแบบเรื่อยๆ เรียงๆ ค่อยเป็นค่อยไป ต้องรอเวลา ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นแฟน แค่เจอหน้า ไปโน่นนี่ ด้วยกันสองคน หรือกับหลายๆ คน ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นแฟน แต่อยูในช่วง จีบ

ที่มาของเรื่องเซ็งๆ ก็ตรงนี้ล่ะครับ ไม่รู้เป็นความห่วงใย หวังดี หรืออะไรก็แล้วแต่ คือมีคนที่คิดว่าไม่อยากให้คนใกล้ตัว คนแกงค์เดียวกัน กลุ่มเดียวกัน หรือเจอะเจอกันบ่อยๆ คบกัน จีบกัน หรือรักกัน เพราะกลัวว่า หากไปกันไม่ได้ในสักวัน ก็จะมองหน้ากันไม่ติด เกิดรอยร้าวในกลุ่ม ผมถือว่าก็เป็นความหวังดีอย่างหนึ่งนะ แต่มันก็เป็นการมองมุมเดียว (และดูจะเป็นการมองโลกในแง่ร้ายไปหน่อย) ซึ่งไม่ถูกต้องไปทั้งหมด เพราะในหลายๆ คู่ที่เลิกกัน ก็ยังคงเป็นเพื่อน เป็นพี่น้อง ที่ดีต่อกันได้ อย่างไหนจะมาก จะน้อยกว่ากันผมไม่รู้ ไม่มีสถิติ รู้แต่ที่ผ่านๆ มา เวลาที่ผมเลิกกับใครก็ยังคงรู้สึกดีต่อกัน แม้บางครั้ง ช่วงแรกๆ อาจเฮิร์ตบ้างอะไรบ้าง หรือแตกแยกกันไปก็จริง แต่เวลาก็ช่วยให้ดีดังเดิมในที่สุด ..และตรงนี้แหละที่ทำให้เซ็ง

มันเริ่มจากตรงนี้ครับ โอเค...ถ้ารักกันก็หมายถึงสองคนรักกันแบบห้ามไม่ได้ฉุดไม่อยู่ ก็ห้ามไม่ได้หรอก แต่ไอ้จีบกันเนี่ยะ บางครั้งก็ต้องอาศัยเวลา อาศัยการเข้าหา คบหา ไปจนถึงการตื้อ แล้วแต่วิธีของแต่ละคม สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ก็เป็นปกติของความรัก ของแบบนี้ บังคับกันไม่ได้ ตบมือข้างเดียวก็ไม่ดัง

มันอยู่ตรงที่ บางครั้งเริ่มต้น จีบ ก็ต้องการเวลาเพื่อพิสูจน์ แต่กลับเป็นว่า เรื่องที่ควรเป็นเรื่องของคนสองคน ก็กลายเป็นเรื่องที่คนห่วงใย (หรือบางคนอาจจะหึงหวง!) ขอเข้ามามีส่วนแบบไม่ได้รับเชิญในเครื่องที่ควรจะเป็นเรื่องของแค่คนสองคน เขาไม่ยินดีในการคบหากัน อย่างที่บอกในย่อหน้าที่แล้ว เพราะกลัวไปเองว่า เลิกกันต้องไม่ดี ฯลฯ และที่ตลกก็อย่างที่บอกไปแล้วเช่นกันคือ เพราะเป็นคนใกล้ตัว! ...งั้นถ้าทำตัวห่างๆ กัน ก็จะกลายเป็นคนไกลตัวไปเองน่ะสิ 555

ก็เลยกลายเป็นความกดดันมากมาย จนทำให้จากที่โดนจีบ ซึ่งเขาเฉยๆ อยู่แล้ว (ซึ่งแน่นอน ก็ต้องใช้เวลาในการจีบนิ!) ก็เลยเซ็ง เบื่อ และอีกมากมาย แล้วแต่แต่ละคนจะแสดงออกอย่างไร ทั้งที่ในความจริง คนที่เป็นคนจีบไม่ได้ต้องการความหวือหวา แต่ต้องการเริ่มต้นอย่างเพื่อน อย่างพี่น้อง หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า อย่างที่เป็นอยู่ (เคยมั้ย ที่ไปทานข้าว ดูหนังกับเพื่อนสองแค่คน ก็ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นแฟนกัน แต่เพราะสนิทกัน) พอมีอะไรมาวุ่นวายแบบนี้ หลายอย่างก็เปลี่ยนไป ทั้งที่ก็ยังไม่ได้ทำอะไร ยังแทบจะไม่ได้เริ่มต้นอะไร

คนเราจะรู้ว่าเข้ากันได้ ไปกันด้วยดีหรือเปล่า ก็มีวิธีเดียวล่ะครับ ก็คือคบกัน ทำความรู้จักกัน หรือจะให้ทำงัยนอกจากนี้ล่ะคับ ช่วยบอกผมหน่อย

พอเรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้น แทนที่จะได้เริ่มต้นแบบพี่น้อง หรือเพื่อนกัน ก็เลยต้องบอกไปหมดว่าคิดอะไร และจะทำอย่างไร ก็เลยเหมือนยัดเยียดความรู้สึกของเราให้กับคนที่ยังไม่ได้คิดอะไร (ที่ก็ไม่แน่ว่าต่อไปอาจจะคิด หรืออาจจะไม่ตลอดไปเลยก็ได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก) พอโดนยัดเยียดอะไรมากเข้า แน่นอนครับ เป็นผมก็ไม่เอาหมดเลย อย่ามายุ่งกะกรู ไม่ไหวละ !!

อีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากจะยังคิดจีบต่อไป จะฝืนต่อไป ก็คงต้องเจอผู้ปรารถนาดีมายุ่งวุ่นวายในเรื่องส่วนตัวของคนอื่น อย่ากระนั้นเลย เขา (ที่โดนจีบ) เลยบอกทำนองว่า 'อย่ามายุ่งกันอีกเลย' ...ที่สุดแล้วเป็นงัยล่ะครับ ก็จบลงแบบที่ไม่ต้องคุยกัน เจอหน้ากันก็คงอึดอัด ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้คบกันเป็นแฟน

เพราะความปรารถนาดีที่ไม่ค่อยเข้าท่า ของแถมก็เลยกลายเป็นผิดใจกับคนที่ปรารถนาดีไปอีกคน ซึ่งก็คงสะใจดีนะครับ ได้ความผิดใจกันเพิ่มขึ้นอีกคนสองคนในคราวเดียวกัน แล้วเช่นนี้หรอที่หวังดี ไม่อยากให้คนใกล้ตัวคบกัน พอเลิกกันแล้วผิดใจกัน ทั้งที่เขา (ที่โดนจีบ) ก็ยังไม่ได้คิดอะไรใดๆ และคนที่จีบ ก็ยังไม่ได้จะเริ่มอะไรมากมาย ที่สำคัญ คนที่จีบต้องการให้เป็นอย่างที่เป็นก่อนหน้า คือ เจอกัน คุยกัน กินข้าว ดูหนัง เที่ยวด้วยกัน จะด้วยกันแค่สองคน (ซึ่งก็ดีสิครับ) หรือจะสามคน หรือหลายๆ คน ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะยังไม่ได้เป็นแฟน แต่เป็นช่วงที่ขอพิสูจน์ให้เห็น และจีบ สบายใจดีออก

ขอบคุณกับคนปรารถนาดี ที่ห่วงใยในความสัมพันธ์ของคนสองคนครับ

ขอบคุณที่ทำให้เซ็ง!!!

ปล. โกรธนิดหน่อย (นิดเดียวจริงๆ) แต่เซ็งมากกว่าครับ

15 April 2009

guys with iphones

This summary is not available. Please click here to view the post.

Pavilion Kuala Lumpur

สังเกตมั้ยครับว่า ผมไปกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย หลายครั้งในรอบหลายปี แต่แทบไม่มีรูปหรือเรื่องเอาลงทั้งในบล็อกเก่า หรือบล็อกใหม่นี้ เหตุผลง่ายๆ จริงๆ เลยก็คือผมไม่เลิฟประเทศนี้สักเท่าไหร่ ไม่ใช่อะไรหรอก แค่ว่าทั้งอากาศ ทั้งบ้านเมือง ละม้ายคล้ายกรุงเทพ และเทียบกันแล้ว ผมว่ากรุงเทพยังมีอะไรน่าสนุกกว่าอีก
แต่คราวนี้ต่างจากเดิมหน่อยครับ เพราะคราวนี้ได้ไปทำความรู้จักช้อปปิ้งมอลล์แห่งล่าสุดของกัลลาลัมเปอร์ที่ชื่อ Pavilion ซึ่งก็บังเอิญเหลือเกิน เพราะผมออกมาจากโรงแรมที่พัก (Ritz Carlton) ข้ามถนนมาก็จะเจอด้านข้างของพาวิเลี่ยน ขนาดกับถนนเส้นเล็กๆ เส้นหนึ่ง ที่เด่นสะดุดตาเหลือเกินตรงที่มีทางเท้ากว้างและโล่งโปร่งมาก ลองมีพื้นที่กว้างแบบนี้ ไม่แม่ค้าพ่อค้าวางแผงขายของ ก็ต้องเอาไปจัดกิจกรรมแบบลานเพลินหลายแห่งในบ้านเรา


ที่ประทับใจอีกอย่างหนึ่งก็แน่นอนล่ะ เห็นบูติกแบรนด์เนม เรียงรายตลอดความยามของถนนสายนี้ บูติกเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ พาวิเลี่ยน ที่ว่าบูติกแบรนด์เนมเรียงรายนั้นยังไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ที่สร้างความตื่นตาตื่นใจของบูติกเหล่านี้ก็คือขนาดของบูติก ที่แต่ละแห่งใหญ่ยักษ์ เรียกได้ว่าหลายๆ แห่งอาจจะเป็นบูติกที่ใหญ่ที่สุดกว่าอีกหลายประเทศในแถบนี้ เข้าไปดูข้อมูล พาวิเลี่ยน จึงทราบว่า ที่นี่มีบูติกระดับ Flagship Store ถึง 14 แบรนด์ อาทิ Gucci, Prada, Hermes, Versace, Ferragamo, Montblanc, Chopard, Coach, Berberry, Hugo Boss, Canali, Juicy Couture เป็นต้น

เห็นดังนั้นแล้ว แน่นอนจึงอดใจไม่ได้ที่จะต้องพุ่งเข้าไปชมความอลังการของมอลล์นี้ ตามข้อมูลในวิกิพีเดีย เปิดเมื่อ 20 กันยายน 2007 นอกจากจะมีร้านรวงมากมาย ภายในพาวิเลี่ยน ยังประกอบด้วย อาคารสำนักงาน ที่พักอาศัย และโรงแรม คล้ายๆ กับเซ็นทรัลเวิลด์ ตั้งบนพื้นที่ที่เคยเป็นโรงเรียนสตรี พื้นที่มอลล์ มี 7 ชั้น รวมเนื้อที่ 130000 ตารางเมตร ร้านรวงกว่า 450 ร้าน มิน่าล่ะเดินเมื่อยเลย!
ทางเข้าด้านข้างดูงาม (ภาพบน) และโมเดิร์นได้โล่ แน่ล่ะ รายล้อมด้วยแบรนด์เนมขนาดนั้นนะ ถ่ายภาพออกมาอาจจะไม่อลังการเท่าที่เห็นด้วยตานะ

เดินเข้ามาข้างในก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย เพราะไหง ไม่เห็นจะเดิร์นอย่างที่เห็นด้านหน้า แม้จะใหญ่โตมโหราฬ แต่มันก็ยังดูไม่ยิ่งใหญ่ หรืองามไปทั้งหมด หรือจะเป็นเพราะเห็นแฟลกชิฟด้านหน้าแล้วหวังมากไปมั้ง
ยิ่งมาดูโถงขนาดใหญ่ตรงกลาง ก็สะดุดตากับซากุระเทียมที่เขาเอามาประดับมากมายก่ายกอง ที่ดูยังไงก็ไม่เห็นว่ามันจะงามตรงไหน ถ้าจำไม่ผิด เขาแต่งซากุระรับเทศกาลตรุษจีน แต่ไม่รู้ล่ะ ไม่ชอบ แถมยังทำให้ พาวิเลี่ยน เสร่อ! หนัก
จะให้อภัยก็ตรงที่ร้างรวงนั้นเก๋ไก๋หลายร้าน ออกแบบผังร้านงงนิดหน่อย แต่ก็เก๋ล่ะวะ ใต้ดินมีซุเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ เดินเพลินเชียวล่ะ เพราะขนาดตอนเดินเข้าพาวิเลี่ยนไม่นาน ฝนก็ตกมาโครมใหญ่และนานเป็นชั่วโมง จนเกือบกลับโรงแรมเตรียมตัวไปดินเนอร์ไม่ทัน แต่ก็ยังเดินพาวิเลี่ยนได้ไม่ทั่ว (ท้อ)
ภาพบน คือทางเข้าหลักของมอลล์ ซึ่งอลังการด้วยขนาดของกำแพงกระจกสูง แต่เดินออกไปข้างนอกแล้ว พื้นที่รอบๆ ไม่สวยเลย เอาเป็นว่า เป็นอีกหนึ่งมอลล์ที่ชอบใจ โดยเฉพาะฝั่งที่เป็นแฟลกชิพ สโตร์น่ะสวยมาก อยากรู้อะไรเพิ่มเติมขอให้เข้าไปดูเองในเว็บไซต์ของเขา เพราะไม่รู้เรื่องแม้กระทั่งชื่อถนนหน้ามอลล์ หรือชื่อเรียกของย่านนั้น
เว็บไซต์จ้า http://www.pavilion-kl.com/content/index.php

มาแล้ว (พิมพ์เป็นรอบที่ร้อยละมั้ง)

ป้ายใหม่มาแล้วครับ จุดเดิมที่มาพร้อมโปรโมชั่นส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีลม (ฝั่งธนบุรี) 'สองสถานี' ที่รอมาได้สักสิบปีแล้ว ป้ายเดิมนั้นมาพร้อมกับวันแรกของการหาเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกรุงเทพ สมัยสองของคุณอภิรักษ์ ที่บอกว่าจะเปิดใช้บริการได้เดือนมีนาคม 2552
อ่านบล็อกเก่าๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ที่ http://kokoichi.blogspot.com/2009/01/blog-post_29.html
ก็ไม่รู้จะทำไงได้ล่ะ จะร้องแหกปาก หรือออกไปด่าผู้ว่าฯ มันก็ไม่ได้ช่วยให้เปิดเร็วขึ้น เอาวะ มาช้าก็ดีกว่าไม่มา ว่าแต่ กลัวมามันจะมาตอนที่ไม่ได้ใช้ หรือไม่ คนรอใช้ก็ตายไปแล้วน่ะสิ!
ตามรูปการณ์ น่าจะเปิดใช้แบบไม่เป็นทางการในวันที่ 15 พฤษภาคม (ตามข่าวที่เขียนไว้ในบล็อกลิ้งค์ย่อหน้าข้างบน) และน่าจะเปิดใช้แบบเป็นทางการในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม อันเป็นฤกษ์ดีแบบไม่ต้องพึ่งหมอดูฤกษ์ยาม ก็ได้แต่หวังว่าจะไม่ลากไปเปิดเอาวันพ่อแห่งชาติ 5 ธันวาคม นะจ้ะ

14 April 2009

แปลกมั้ย

สังเกตอย่างหนึ่งว่าคืนปีใหม่ ปี 2549 ต่อปี 2550 และสงกรานต์ 2552 มีสิ่งที่เหมือนกันสามอย่าง คือ
หนึ่ง เป็นเทศกาลปีใหม่
สอง มีเหตุการณ์รุนแรงขึ้นในกรุงเทพ เมืองหลวงของประเทศไทย เรื่องแรก เกิดเหตุระเบิดทั่วกรุงเทพ เรื่องที่ล่าสุด คือจราจลทั่วกรุงเทพ
สาม ทั้งสองเหตุการณ์ ต่างมีผู้นำคือคุณทักษิณ ชินวัตร เหตุการณ์แรก เป็นนายกรัฐมนตรี เหตุการณ์ล่าสุดเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี นักโทษหนีคดี และหัวหน้ากลุ่มเสื้อแดง และนปช.
แถมด้วยปล้นปืนภาคใต้ และเริ่มต้นการลอบสังหารในภาคใต้ หรือข่าวคาร์บอมบ์รถนายก ก็เริ่มในขณะคุณทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี
แปลกดี

10 April 2009

ข้าวหมูทอด 'ตะบองเพชร'


ไปหม่ำร้านนี้มานานนม เห็นตั้งแต่ร้านยังไม่เสร็จ พอร้านเสร็จและเปิดปุ๊บก็พุ่งไปหม่ำทันที ตอนนั้นมีโปรโมชั่นทานทงคัตสึเนื้อสันนอก (ใหญ่) ที่เขาบอกว่าเป็นเซ็ตขายดิบขายดีที่สุด ลดทันที 10% ดังโปสเตอร์ด้านล่าง ส่วนภาพทั้งหมดถ่ายเมื่อก่อนปีใหม่ที่ผ่านมา ด้วยเซ็ตโปรโมชั่นนั่นเอง (ราคา 290 บาท)
ไปหม่ำเสร็จก็เม้าท์ให้พี่พลอย (จริยะเวช) ฟัง จนพี่พลอยแปะ โพสต์บรรยายทงคัตสึในร้านจนเขาสงสัยว่าทำงานอะไรกันแน่ นึกว่าเป็นนักชิม (ไม่รู้ว่าชมหรือเปล่าอ่ะพี่)

อ่ะแฮ่ม! ลืมบอกชื่อร้านไปเลย ร้านนี้ชื่อ ชาโบเตน (Shaboten) แปลว่า กระบองเพชร (สังเกตลวดลายในร้านจะเป็นรูปกระบอกเพชรจ้ะ) คนกรุงอาจจะไม่ค่อยรู้จักร้านนี้ หรือถ้าเป็นนักท่องเที่ยวที่ดีในโตเกียวก็อาจจะพอคุ้นหน้า คุ้นหู แต่ไม่คุ้นชื่อนัก เพราะส่วนใหญ่ก็จำแค่ว่าร้านทงคัตสึ
แต่ถ้าบอกว่าร้านชาโบเตง เป็นร้านทงคัตสึชื่อดังโคตร ณ ย่านชินจูกุ แขกไปใครมา เผลอไปเดินเที่ยวที่ชินจูกุ (ซึ่งแน่นอนว่าต้องไปที่ย่านนี้กันทุกคน) ก็จะต้องพอได้ยินร้านทงคัตสึชื่อดัง อยู่กลางใจชินจูกุพอดี สังเกตได้ว่าพอช่วงทานข้าว จะมีคิวยาวทุกวัน
เว็บไซต์ ชาโบเตง ที่ญี่ปุ่นจ้ะ www.ghf.co.jp/saboten_rest/index.html


พอรู้ พอเห็นว่าเขากั้นห้อง ตั้งร้าน บนชั้น 6 เซ็นทรัลเวิลด์ ฝั่งห้างอิเซตัน ตรงข้ามร้านหนังสือคิโนะคุนิยะ ก็นับวันรอแล้วรอเล่า

ว่าแล้วก็พุ่งไปหม่ำ (จนถึงวันนี้หม่ำไปกว่า 5 รอบละ) ให้หายอยาก ราคาก็ประมาณเปลี่ยนเยน เป็นบาทนั่นแหละ ปกติผมไม่ค่อยชอบทานทงคัตสึ แต่ไหนๆ ก็ลองหน่อยละกัน
ว่ากันเรื่องอาหารญี่ปุ่นเล็กน้อย อาหารประเภททงคัตสึนี้ คนญี่ปุ่นถือว่าเป็นอาหารระดับปานกลาง ชนชั้นกลาง หรือระดับทั่วไป ก็จะมาหม่ำทงคัตสึ ขณะที่ราเมง และข้าวหน้าเนื้อ เป็นอาหารระดับชนชั้นแรงงั้น ชนชั้นกลาง ก็มักจะเลี่ยงหรืออัพเกรดไปหม่ำอาหารชนิดอื่น (แต่ว่านะ อาหารแบบราเมง หรือข้าวหน้าเนื้อนี่แหละ ที่ฮิตเหลือหลายสำหรับชาวต่างชาติ)

เข้าเรื่องดีกว่า ชาโบเตง เขาเสริฟอาหารเป็นชุด ในชุดประกอบด้วย อาหารทอดประเภทต่างๆ แต่หลักๆ ก็คือหมูชุบแป้งทอด เสริฟคู่กับ ข้าวสวย ซุปเต้าเจี้ยว และผักกะหล่ำซอย สามอย่างนี้ สามารถเติมได้เรื่อยๆ โดยเฉพาะกะหล่ำซอยนั้นจะเสริฟในชามกลางขนาดใหญ่ แล้วให้ตักแบ่งใส่ชามกันเอง มีน้ำสลัดให้เลือกสองแบบคือแบบซอสญี่ปุ่นน้ำเหมือนซีอิ้วใส รสเปรี้ยว และแบบข้นขาว (ซึ่งไม่ชอบ เพราะกินมากๆ เลี่ยนจ้ะ) ใส่ขวดแก้วดังรูปที่สอง เติมกันเอาเอง
ผมไม่ค่อยชอบเนื้อสันนอก เพราะแห้งไปหน่อย (คือมีแต่เนื้อน่ะ) แต่ชิ้นใหญ่และถูกกว่าเมนูอื่นๆ ก็เลยขายดี เมนูที่ชอบจริงๆ คือเนื้อสันใน ที่ติดมันหน่อยๆ ทำให้เนื้อชุ่มไม่แห้งเหมือนเนื้อสันนอก ส่วนเมนูอื่น ที่มาคู่กับกุ้ง ปลา หอย ฯลฯ ชุบแป้งทอด ไม่ได้ทาน เพราะอย่างที่บอกว่าจริงๆ ไม่ค่อยชอบทงคัตสึ แต่กินไปกินมา ทงคัตสึหมูสันใน ก็อร่อยดีนะ ...อ้อ! ลืมบอกไปว่า เซ็ตเมนู ตบท้ายด้วยไอศกรีมชาเขียว ที่ขอเพิ่มไม่ได้จ้ะ




แน่นอนล่ะ ชาวญี่ปุ่นเต็มร้านไม่แพ้ชาวไทย ...โออิชิ :-)

05 April 2009

Mandalay @ Chiang Mai


หลายคนใคร่รู้ว่า ไปเชียงใหม่ ไปมันดาเลย์ทำไม มันดาเลย์อยู่พม่านิ มีคนเข้าใจสับสนเยอะแยะ คราวนี้ สบโอกาสไปเชียงใหม่อีกครา จึงไม่ลืมถ่ายภาพมันดาเลย์ เชียงใหม่ มาให้หายข้องใจ อันที่จริงก็เกือบจะไม่ได้ถ่ายภาพ เหตุเพราะไปมันดาเลย์ทีไร ก็มักจะสิ้นสภาพ แอบถ่ายมาตอนกำลังเลิก ตลาดกำลังจะวาย ไฟค่อยๆ เปิด
อันที่จริงก็บ่นทุกครั้งที่ไปมันดาเลย์ ว่าโชว์แย่ จะร้องกันไปทำไม จะมีโคโยตี้ไปหาอะไร แถมบางวันมีการแสดงประหลายๆ ชวนให้อึ้งหลายรอบละ อย่างเมื่อคืน ก็มีโชว์ตลก นึกว่ามาพระรามเก้าคาเฟ่ ตลกมุกหยาบคายมาก ไม่ชอบตลกลามกแบบนี้เลยจริงๆ
ว่าแต่ว่า เห็นบ่นแบบนี้ ก็ไปมันแทบทุกคืน ทุกคราวที่ไปเชียงใหม่ แต่ก็นะ...ไปทีไร ต้องมีเรื่องอะไรให้เป็นข่าวได้แทบทุกครั้ง อย่างคราวนี้ ก็มีตีกันเกือบทุกวัน แถมยังเอามาพัวพันกะข้าพเจ้าและพวกพ้องซะงั้น ทั้งที่ก็เมาสิ้นสติ ไปได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรกะเขาเลย
ก็อย่างนี้ล่ะนะ คนมันป๊อปและฮ้อต ...แต่ไม่ได้อะไรติดไม่ติดมือ ...เซ็ง!!


ปล. คืนนี้ว่าจะไป วอล์มอัพ แต่เชื่อเหอะ เดี๋ยวก็ไปสิ้นสุดที่มันดาเลย์อยู่ดี :)