29 May 2009

ไอ้หน้าโง่!

เพลง: รักยาก ลืมยาก
ขับร้อง: เบล สุพล
อัลบั้ม: Sleepless Society 3


ที่ทุกคืนเป็นเช่นนี้ ต้องมานอนก่ายหน้าผาก
เกิดจากอะไรนะหรือ รู้ดีอยู่แก่ใจ
ทั้งๆที่จบไปนานแล้ว เลิกไปนานแล้วยังไม่ห้ามใจ
ยังคิดถึงเธอ คิดให้ปวดใจ

ไม่มีใครทำร้าย ให้ใจสลาย ทุกอย่างเกิดเพราะฉันเอง
ไม่มีใครข่มเหง ให้เจ็บให้เป็นอย่างนี้

เพราะฉันมันโง่เอง..ที่ยังรักเธอ
โง่เอง..ที่ยังฝังใจ
ไม่เคยทำใจ ไปจำอะไรที่ควรจะลืม
เพราะฉันลืมยากเอง..
จะไปโทษใคร ยากเอง..ที่จะรักใคร
เลยต้องเดียวดาย หลับตาไม่ลงอย่างนี้
เพราะเป็นคนแบบนี้ นิสัยไม่ดีแบบนี้ ถึงรักใครไม่ได้เลย

ทั้งที่ตัวเองก็รู้ ไม่มีทางจะเริ่มใหม่
อย่ามัวไปคอยอะไร ที่เลือนลางอย่างนี้
เลิกบ้าเลิกอยู่กับความหลัง หยุดเถอะพอแล้วใจ พอสักที
อย่าไปรักเธอ รักให้เหนื่อยหัวใจ

ไม่มีใครทำร้าย ให้ใจสลาย ทุกอย่างเกิดเพราะฉันเอง
ไม่มีใครข่มเหง ให้เจ็บให้เป็นอย่างนี้

เพราะฉันมันโง่เอง..ที่ยังรักเธอ
โง่เอง..ที่ยังฝังใจ
ไม่เคยทำใจ ไปจำอะไรที่ควรจะลืม
เพราะฉันลืมยากเอง..
จะไปโทษใคร ยากเอง..ที่จะรักใคร
เลยต้องเดียวดาย หลับตาไม่ลงอย่างนี้
เพราะเป็นคนแบบนี้ นิสัยไม่ดีแบบนี้ ถึงรักใครไม่ได้เลย

---------------------------------------------

แว่วได้ยินเพลงนี้มานานมากละ ชอบทุกครั้งที่ได้ยิน แต่ก็ไม่ได้สนใจค้นหา
วันนี้นึกขึ้นได้เอง เลยลองหาเพลงนี้ ก็เพิ่งรู้ว่าอยู่ใน iTunes มานานนมเช่นกัน
ที่สำคัญเพิ่งหาเนื้อร้องมาอ่าน....โหยยยย!

ฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่า!!

ไอ้หน้าโง่ !!! T_T


27 May 2009

white crape และข้าวผัดรสเด็ด


มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากมายเหลือเกิน กับความอร่อยของร้านอาหาร บนชั้น 1 อาคารมณียาเซ็นเตอร์ เพลินจิต กรุงเทพฯ
ร้านนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออฟฟิตที่ผมทำงานอยู่ และเป็นร้านเจ้าประจำของคนที่ออฟฟิต และอีกหลายๆ คนที่ทำงานอยู่ในตึกนั้น แต่ความไม่ธรรมดา มาจากกระแสปากต่อปาก ร่ำลือกันจากเพื่อนฝูงของคนในออฟฟิต ลุกลามไปเป็นไฟท่วมทุ่ง ถึงความเด็ดของ 'ข้าวผัดปลาทู'
White Crape เริ่มแรกก็ขายเครป ชา กาแฟ และน้ำผลไม้ปั่น ตั้งอยู่ติดกับบันไดเลื่อนโบราณของอาคารมณียา แต่ขายแค่เครปนี้ดูท่าจะเงียบเหงาไปหน่อย ก็เลยเพิ่มเมนูอาหารกลางวันแบบง่ายๆ นิดๆ หน่อยๆ แต่บงเอิญว่าเด็ด ก็เลยเพิ่มเมนูอาหาร และขยายเวลาจำหน่ายอาหารไปจนถึงเย็น

อาหารมีทั้งแบบที่เป็นเมนูประจำ และแบบที่เป็นเมนูหมุนเวียนให้ตื่นเต้นเล่น เมื่อก่อนมีเส้นหมี่หมูย่าง ก็อร่อยใช้ได้ ตอนหลัง อยากสั่งอะไรก็มีให้แทบจะกลายเป็นอาหารตามสั่ง เอาเป็นว่าเท่าที่จำเมนูได้ ก็เป็นเมนูที่เหล่าเพื่อนฝูงทานเมื่อกลางวัน สุกี้แห้ง สปาเก็ตตีครีมซอส ข้าวต้มหมูสับ ยำอะไรสักอย่าง และเมนูของภาพบน 'ข้าวผ้ดพริกเผากุ้ง' (มีหมูด้วย) รสชาติออกหวานอมเผ็ดจากน้ำพริกเผา กลมกล่อมได้ที่ เคล้ากับแครอทหันแบบลูกเต๋า และคะน้าฝอย ก็ใช้ได้ แต่ถ้าหวังว่าจะเผ็ดนำ ก็เสียใจด้วย
เมนูเด็ดที่เป็นที่กล่าวขวัญของคนในวงการ แบบที่ละปากสองปาก คือ 'ข้าวผัดปลาทู' กลายเป็นเมนูประจำของผมไปแล้ว มีให้เลือกแบบข้าวขาวและข้าวกล้อง เคล้ากันอย่างลงตัวกับเนื้อปลาทูแบบไม่อั้น! (ไม่ใช่เนื้อปลาทูทั้งตัว แต่ก็เยอะมากล่ะฟระ) ตามด้วยผักกะหล่ำหั่นฝอยเยอะแยะ หอมแดง และต้นหอมซอย เพิ่มความแซ๊บด้วยพริกขี้หนูฝอยและพริกชี้ฟ้าแห้ง สำหรับคนชอบรสจัดจ้าน (แต่ไม่ใชเผ็ดจัดจ้านนะ) ก็ต้องเลิฟจานนี้ สำหรับผมก็ต้องเขี่ยพริกออก
บีบมะนาวฝานที่เขาจัดมาในจาน หรือเติมพริกขี้หนูจากพริกน้ำปลาก็แล้วแต่ความชอบ ที่นี่ข้าวผัด หรืออาหารจานแห้ง เขาจะจัดมาพร้อมน้ำซุปถ้วยเล็กๆ ยกซดทุกที และแน่นอน ทานหมดเกลี้ยงจานทุกครั้ง ไม่เหลือข้าวสักเม็ด เว้นไว้ก็แต่พริกทั้งสองสปีชี่ส์
ชอบแต่ก็ไม่ทานทุกมื้อ เพราะดูจะขี้เกียจเดินไปหาไรทานแถวนี้ไปนิดนึงนะ

26 May 2009

โมโหมาก

เมื่อวานมีเรื่องให้โมโหมากถึงมากที่สุด
เคยมั้ยครับที่ถูกเอาเปรียบแบบแย่ๆ ปกติไม่ค่อยจะเป็นคนโวยวายอะไรคนอื่นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่คราวนี้ เดินไปแหกกลางร้าน เพราะอะไรหรอครับ จะเล่าให้ฟัง
เมื่อวานกลางวัน ไปทานข้าวกับน้องที่สนิทสนมกัน เพราะเขาเอาของเล่นมาฝาก เลือกทานข้าวกลางวันที่ ฟู้ดลอฟต์ เซ็นทรัล ชิดลม ปกติก็จะทานเฝอเนื้อเป็นเมนูประจำ แต่วันนี้ อยากทานอย่างอื่นบ้าง ก็ด้อมๆ มองๆ เห็น เส้นหมี่ผัดเป็ดย่าง ของร้านอาหารจีนที่เขาทำโชว์ไว้ดูน่าทานดี ราคาจานละ 120 บาท ก็เลยสั่ง "อีก 7 นาทีให้พนักงานมารับได้ครับ" พนักงานร้านอาหารผู้รับออเดอร์บอกผม แต่ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเดินวนไปมา เผื่อมีอะไรน่ากินอีก ระหว่างนั้นก็มีคนแวะเวียนมาแล้วก็สั่งเมนูเดียวกับผม ประมาณ 2-3 คน จากนั้นผมก็ไปนั่งประจำที่
ให้บัตรรับอาหารแก่พนักงาน เพื่อไปรับเส้นหมี่ผัดเป็ดย่างที่สั่งไว้ สักครู่พนักงานเดินกลับมาพร้อมจานอาหาร เห็นหน้าค่าตาก็ดูงงๆ เพราะไหงมีแต่เส้นเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่คิดมาก เพราะของจริงกับของที่เขาทำเป็นตัวอย่างมักไม่เหมือนกัน
ผมมีนิสัยเหมือนเด็กๆ คือชอบทานเส้นก่อนทานเครื่อง ยิ่งเห็นเส้นเยอะแยะก็เลยขอจัดการเส้นไปบางให้ปริมาณเส้นกับเนื้อเป็ดมันดูสมดุลกันบ้าง สักพักก็รู้สึกเอ๊ะใจกับอะไรบางอย่าง เพราะเส้นหมี่เริ่มพร่อง
ได้เห็นโฉมของเครื่องที่เขาใส่มาให้ในจาน เส้นหมี่ผัดเป็ดย่าง แทบช้อก พร้อมสะกิดน้องให้มาดูในความ 'มักง่าย' เพราะในจานนั้น มีเส้นหมี่กองโต เห็ดหอมหั่นเป็นเส้นๆ จำนวนหนึ่ง ประมาณ 5-7 ชิ้น ความหนาประมาณชิ้นละ 5 มิลลิเมตร ความยาวก็เท่ากับเห็ดหอมขนาดปกติ
แต่ไอ้จุดขายของอาหารจานนี้น่ะสิ เป็นย่างเป็นเส้น ความหนาราวชิ้นละ 5 มิลลิเมตร ความยาวประมาณ 3 เซ็นติเมตร จำนวน 3 ชิ้น!!!!!

ไม่ได้อ่านผิดครับ 3 ชิ้นเท่านั้น! ลืมบอกไปว่าผมเป็นคนที่จะค่อยๆ โมโห ไม่ใช่แหกปากทันทีทันใด ตอนนั้นรู้สึกว่า ทานมาครึ่งจานแล้ว คงไปเรียกร้องขอคืนคงไม่ดี ก็จำใจทานไป แต่ในใจก็เริ่มคิดว่า ทำไมผมต้องโดนเอาเปรียบขนาดนี้ แล้วจะไม่ทำอะไรบ้างเลยหรอ
ทานหมดจานก็พอดีความโมโหก็ถึงขีดสุดพอดี (แย่เนอะ) เลยขอเดินไปบอกให้เขารู้ ไปถึงร้าน ก็ไปถามพนักงานรับออเดอร์ร้านอาหารจีน ถามเขาว่า เส้นหมี่ผัดเป็ดย่างนี่ ทำรวมกันหลายๆ ออเดอร์ในครั้งเดียวหรือไม่ เพราะเมื่อครู่ หลังจากที่ผมออร์เดอร์ไป ก็มีคนออเดอร์ตามอีกสองสามราย พนักงานคนนั้นตอบว่า (ไม่รู้เพราะตกใจหรือเปล่า ที่จู่ๆ มีใครโพล่งคำถามนี้ แต่คำตอบเด็ดกว่า) "ไม่นะครับ"

เท่านั้นแหละ สติก็หลุดผึง บอกไปว่า ถ้าไม่ทำรวมกันทีเดียว แล้วเส้นหมี่ที่ผมสั่งไป มีเป็ดย่างแค่ 3 ชิ้นเท่านั้นหรือ พนักงานก็ทำเสียงงงๆ ถามผมว่า "เป็ดเส้นน่ะหรอครับ"... "ก็ใช่น่ะสิ จานนึงมีแค่สามชิ้นหรืองัย" ผมตอบเสียงดัง
"ถ้าเช่นนั้นผมทำให้ใหม่ครับ" พนักงานบอก "ไม่ต้อง เพราะผมสังเกตเห็นตอนทานไปบ้างแล้ว" ผมตอบ
"ถ้างั้นผมไม่คิดเงินจานนี้ละกันครับ" พนักงานแก้ปัญหาให้ผม "ไม่ต้องครับ ผมจ่ายให้ได้ แต่จะบอกให้ร้านคุณทราบว่า คุณขายของอย่างนี้ได้ไม่ได้ อาหารจานนี้ราคาจานละ 120 บาทนะครับ ไม่ใช่จานละ 10 -20 บาท หวังว่าคงไม่มีอะไรแบบนี้อีก" แหกปากเสร็จ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าคนมองกันเต็มเลย (หุหุ) - ไม่แคร์!
เสียดายที่คราวนี้ลืมถ่ายรูปเส้นหมี่จากนั้นมาให้ชม เพราะมัวแต่โมโห แต่ที่เอามาเล่าให้ทราบนี้ ไม่ได้ให้ไปแอนตี้ฟู้ด ลอฟต์ นะครับ (จริงๆ ร้านอาหารจีนร้านนี้ขายแพงมาตลอดอยู่ละ) แค่อยากให้คุณผู้อ่านได้ทราบไว้ และต้องคอยสังเกตดูว่าร้านอาหารร้านนี้จะยังทำแบบที่ทำกับผมอีกหรือเปล่า
เพราะผมว่าผมแหกปากเสียงดังไปแล้ว ถ้าเขายังไม่ปรับปรุงอะไรเลย แถมยังดื้อจะทำอาหารแบบมักง่าย ผัดหมี่แบบเหมาเข่ง ที่ทำออกมาได้หลายจาน แต่ราคาจานละ 120 บาท มันเหมือนผัดหมี่ร้านอาหารข้างทาง ทั้งที่ฟู้ดลอฟต์ เขาได้ชื่อว่าเป็นฟู้ดคอร์ตฉบับสุดหรู แต่ถ้ายังมีร้านอาหารที่ทำอาหารให้ลูกค้าทานแบบนี้ หรือยังทำอะไรมักง่ายแบบนี้ต่อไป ก็ขอความกรุณาทางห้างเซ็นทรัล ช่วยย้ายร้านอาหารจีนร้านนี้ออกไปขายข้างถนนจะดีกว่า อย่าให้ลูกค้าเขาเสียความรู้สึกไปกับทั้งฟู้ด ลอฟต์ ปลาตายตัวเดียวแต่เหม็นไปทั้งคอก

บอกได้คำเดียวว่า 'อุบาทว์!'

25 May 2009

อาหารบนเครื่องบิน

ถึงเวลาหม่ำกันละ เริ่มต้นด้วยการหม่ำบนเครื่องบิน คราวนี้นั่งชั้นบิซิเนส ของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก เครื่องเก่าได้ใจ เบาะนั่งไม่ต่างจากบิซิเนส การบินไทย รุ่นเก่าเช่นกัน ขาไปฮ่องกง คือมื้อเช้า อาหารก็เลยเช้าไปด้วย ดังรูปบน ประกอบไปด้วย ผลไม้ โยเกิร์ต ขนมปัง (เลือกครัวซองต์) และเมนครอส ที่เลือกไว้เป็นอาหารที่เชฟแนะนำ คือปลาเปรี้ยวหวาน (ที่ออกหวานจัด) ข้าวสวย และผักต่างๆ ก็ไม่เลว แต่ก็ไม่เลิศ
ความต่างกันอีกอย่างของอาหารบิซิเนสคาเธ่ย์ และการบินไทยคือ เวลาเสริฟ์เมนครอส ของการบินไทย จะนำรายการอาหารมาให้เลือกว่าจะเอาอะไรดี ตอนเสิร์ฟ ก็จะประเคนมาให้ตามที่ขอ ซึ่งก็จะไม่รู้ว่าที่เหลือน่าตาน่ากินอย่างไร แต่คาเธ่ย์ จะเอาเมนูมาให้อ่านเฉยๆ ถึงเวลาก็จะเข็นรถ พร้อมอาหารทุกรายการมาทั้งเซ็ต เลือกตามสะดวกว่าอยากทานอะไร ซึ่งก็ดี เพราะได้เห็นจะจะ ว่าอะไรน่าหม่ำ แต่ที่ไม่ดีก็คือเหล่าแอร์ฯ มาพร้อมหน้ากากกันเชื้อโรคน่ะสิ แล้วไอ้อาหารที่วางหลาบนรถเข็นละ ...ก็ตัวใครตัวมัน
มื้อกลับกรุงเทพ ที่นั่งก็เก่าเยินอีกเช่นกัน อาหารเป็นอาหารค่ำ เพราะเครื่องออกตอนสี่ทุ่ม ก็มีสลัดผัก ขนมปัง (เลือกขนมปังกระเทียม) และเมนครอส ก็เลือกอาหารเชฟแนะนำอีกเช่นเคย คราวนี้มาเป็นอกไก่อบชิ้นโต ผัก และมันฝรั่งที่หน้าตาดูคล้ายข้าว อกไก่เนื้อนุ่มมากมาย เข้ากับน้ำซอสที่อยู่ข้างใต้ ที่ชอบคือหนังไก่บางและนุ่มเหนียว อร่อยอย่างแรง ตบท้ายด้วยไอศกรีม ฮาเก้นดาสท์

ยัมมี่!!

23 May 2009

ไข้หวัดหมูในมนุษย์ (Human Swine Influenza)


เก็บตกจากทริปฮ่องกง ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอเอกสารนี้ ร่วมกับอีกหลายๆ ภาษา ฯ ที่สาธารณะกลางใจฮ่องกง แสดงให้เห็นว่าทางรัฐบาลฮ่องกงเอาจริงเอาจังกับโรคร้ายนี้ คงเพราะครั้งหนึ่งฮ่องกง เผชิญกับโรคซาร์ส และไข้หวัดนก จนทั้งเมืองแทบจะร้าง คราวนี้ก็ขอให้ไม่พลาดซ้ำสอง สาม สี่ ...
ที่ฮ่องกงพบเห็นคนสวมหน้ากากได้ทั่วไป อาจะไม่มาก แต่ก็เจอเรื่อยๆ ยิ่งสนามบิน และบนเครื่องบินก็สวมกันทั่วหน้า จนวิตกไปด้วยคน ส่วนบ้านเราก็... เอ่อ... จะบอกอย่างไรดี ที่ญี่ปุ่น เพียงวันแรกที่พบผู้ป่วยไข้หวัดหมูในโกเบ หลังวันที่ 2 พฤษภาคม ที่มีการแข่งวอลเลย์บอลระดับไฮสกูล จนวันนี้พบผู้ติดเชื้อแล้วถึง 279 (ตัวเลขเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม) ทั่วภูมิภาคคันไซ โดยมีศูนย์กลางที่โกเบ รวมทั้งโอซาก้า ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดหมูรายแรกในโตเกียวเมื่อวานซีน
...ซึ่งก็คือมันระบาดไวมาก และที่ทราบจากข่าวก็คือ ระยะฟักตัวของเชื้อนี้คือประมาณหนึ่งอาทิตย์ ฉะนั้นเราจะไม่ทราบว่าติดเชื้อในระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งก็แพร่เชื้อไปไหนต่อไหน อย่างที่เกิดที่ญี่ปุ่นเวลานี้

เห็นว่าเอกสารที่เก็บมาจาก Centre for Helth Protection (http://www.chp.gov.hk/) ของทางการฮ่องกง เป็นประโยชน์ต่อชาวไทย จึงขออนุญาติลอกมาให้อ่านกัน
ไข้หวัดหมูในมนุษย์
ภูมิหลัง
มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไข้หวัดหมูสายพันธุ์ A/H1N1 (ไข้หวัดหมู) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศเม็กซิโก และประเทศต่างๆ จำนวนมาก ไว้รัสไข้หวัดใหญ่หมูนี้ แต่เดิมเป็นที่ทราบกันดีว่า แพร่ระบาดในหมูและมีการแพร่เชื้อไปสู่มนุษย์บ้าง แต่ในเวลานี้เกิดการแพร่ระบาดไวรัสไข้หวัดหมูไปทั่วโลก และเป็นการแพร่เชื้อจากมนุษย์ไปสู่มนุษย์ด้วยกันเอง
ลักษณะอาการ
อาการของไข้หวัดหมูในมนุษย์นั้นมักจะคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่ธรรมดาในมนุษย์ที่ติดเชื้อตามฤดูกาล ซึ่งได้แก่ มีไข้ เซื่องซึม ไม่อยากอาหาร และไอ บางคนที่ติดเชื้อไข้หวัดหมูอาจมีอาการน้ำมูกไหล เจ็บคอ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงร่วมด้วย
วิธีการติดต่อ
การติดเชื้อไข้หวัดหมูในมนุษย์สู่มนุษย์คาดว่าเกิดขึ้นในทำนองเดียวกับการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ที่แพร่ระบาดในหมู่ผู้คน นั่นคือ โดยหลักๆ แล้วเกิดจากการไอหรือจาม นอกจากนี้ผู้คนอาจได้รับเชื้อจากการสัมผัสวัตถุที่มีเชื้อไวรัสไข้หวัดปนเปื้อนอยู่ และจากนั้นไปสัมผัสกับจมูกปากของตน
ไม่มีรายงานว่ามีการติดเชื้อไข้หวัดหมูสู่คนผ่านการรับประทานอาหารจำพวกเนื้อหมู หรือผลิตภัณฑ์จากหมูที่มีการจัดการและการปรุงสุกอย่างเหมาะสม การปรุงเนื้อหมูให้สุกภายในอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส (160 องศาฟาเรนไฮน์) ทำให้เชื้อไว้รัวไข้หวัดหมูตาย
การควบคุม
ผู้ที่เริ่มมีอาการไข้หวัดใหญ่ ควรสวมผ้าปิดปากและพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ผู้ที่ไปยังสถานที่ที่มีการติดเชื้อ หรือได้คลุกคลีกับผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงสถานที่ที่เคยเดินทางไป และประวัติการสัมผัสเชื้อ
ยาต้านไวรัสสามารถลดความรุนแรง และระยะเวลาของการเจ็บป่วยลงได้ แต่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์ 'จะต้องไม่ซื้อยามาใช้เองโดยเด็ดขาด'

การป้องกัน
เนื่องจากไวรัสไช้หวัดหมูสายพันธุ์ H1N1 แตกต่างไปจากไวรัส H1N1 ในมนุษย์อย่างมาก วัคซีนสำหรับรักษาไข้หวัดธรรมดาในมนุษย์จึงไม่ให้การป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูสายพันธุ์ H1N1 แต่อย่างใด
ประชาชนควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันล่วงหน้าต่อไปนี้:
  • รักษาความสะอาดมือ และล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ การใช้น้ำยาเช็ดมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ก็ได้ผลเช่นกัน

ในยามที่มือปนเปื้อนกับสิ่งสกปรกที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ควรจะ

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสปาก จมูก หรือตา
  • ล้างมือด้วยสบู่เหลวโดยทันทีหากมือปนเปื้อนสารคิดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ เช่นหลังจากจามหรือไอ
  • ปิดจมูกหรือปากเมื่อจามหรือไอ
  • ไม่ถมน้ำลาย และใช้กระดาษทิชชู่ปิดจมูกและปากก่อนบ้วนน้ำลาย และทิ้งกระดาษทิชชู่ลงในถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด
  • สวมผ้าปิดปากเมื่อมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ หรือเริ่มมีไข้ แล้วไปพบแพทย์โดยทันที
  • ไม่ไปทำงาน หรือโรงเรียน หากคุณมีอาการคล้ายไข้หวัด

หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่ที่มีการติดเชื้อ ยกเว้นถ้ามีความจำเป็นจริงๆ ซึ่งหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรจะ

  • ในระหว่างการเดินทาง - สวมผ้าปิดปาก และไม่สัมผัสกับผู้ป่วย
  • หลังจากกลับมาจากการเดินทาง - ใส่ในใจสุขภาพของตนเองอย่างใกล้ชิด และสวมผ้าปิดปากเป็นเวลา 7 วัน และรีบปรึกษาแพทย์ในคลีนิคหรือโรงพยาบบาลของรัฐโดยทันที หากมีอาการคล้ายไข้หวัดปรากฏ

(ข้อมูลวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552)

ติดตามสถานการณ์ข่าวคืบหน้าของไข้หวัดหมูของกระทรวงสาธารณสุข ได้ที่ http://beid.ddc.moph.go.th/th/index.php?option=com_content&task=view&id=419303&Itemid=199

17 May 2009

มันมาพร้อมBTS!!

ความจริงจะเขียนเรื่องรถไฟฟ้าฝั่งธนฯวันแรก เพราะรู้สึกเห่ออย่างออกหน้าออกตา เพราะรอมานานแสนนาน วันนี้ก็เป็นจริง อีกอย่างหนึ่งที่เลิฟไปกว่านั้นคือบันไดรถไฟฟ้าเทียบหน้าบ้าน สิบก้าวก็ถึงบันไดรถไฟฟ้า หุหุ
สองเรื่อง ที่ทำใจก่อนที่รถไฟฟ้าจะเปิด คือหนึ่ง หน้าบ้านจะต้องมีรถไม่ได้รับเชิญ ที่เข้าใจว่าหน้าบ้านเป็นที่จอดรถสาธารณะ แล้วก็มีจริงๆ สินะ ทั้งที่แถวบ้านก็ไม่ได้จะมีตึกสำนักงานอะไร ให้รถจอดล้นออกมาเสียหน่อย และสอง จะได้เห็นเหล่าคุณแท็กซี่ทั้งหลายมาจอดรถดักผู้โดยสาร แต่จะไปไม่ไปก็อีกเรื่องหนึ่ง
ว่าแล้ว เช้าวันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม ออกจากบ้านราว 9.45 น. ก็มีรถแท็กซี่จอดรอผู้โดยสารดังว่า พร้อมรถรายงานข่าวของช่องอะไรไม่แน่ใจ 11 หรือ itv (ขออภัย สองช่องนี้เปลี่ยนชื่อจนจำชื่อล่าสุดไม่ได้ และไม่ใส่ใจจำอีกแล้ว) ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
แต่ขากลับบ้าน ราว 5 ทุ่มนี่สิ ทางลงรถไฟฟ้า ซึ่งก็คือหน้าบ้าน มีวินมอเตอร์ไซต์มารอผู้โดยสารเต็มพื้นที่ และเสื้อวินตัวใหม่ ซอยกรุงธนบุรี2 (สถานีวงเวียนใหญ่) แต่ไหงมาอยู่หน้าบันไดรถไฟฟ้า ไม่ไปอยู่หน้าซอย 2 ทั้งที่ช่วงหน้าบ้านของผม เหมือนเป็นลานขนาดย่อม แค่รถยนต์ของสามบ้าน และรถตัวแถมจากไหนไม่รู้ ก็อึดอัดแย่ละ นี่มีวินมอเตอร์ไซด์ แท็กซี่ และคนลงรถไฟฟ้ายืนรอรถเป็นระยะๆ ดูอึดอัดพิกล ขณะที่หน้าซอย 2 มีพื้นที่กว้างกว่า และส่วนใหญ่เป็นห้องแถมไม่มีคน หรือร้านอินเตอร์เน็ต ที่น่าจะเหมาะแก่การไปอยู่ตรงนั้นมากกว่า ซึ่งก็ไกลกว่ากันไม่กี่สิบก้าว อึดอัดชะมัด ที่มีวินมอเตอร์ไซต์มายืนหน้าบ้าน แล้วดูเราเปิดประตูเข้าออกบ้าน แค่คนลงรถไฟฟ้ามองดูก็อึดอัดละ

รุ่งขึ้น วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม เปิดประตูบ้านตอนบ่าย แทบกรี๊ด เพราะวินมอเตอร์ไซต์ จากที่เห็นกลางคืนราว 5-6 คน ตอนนี้มีกว่าสิบคนสิบคัน หน้าบ้านตอนนี้กลายเป็นที่วางป้ายคิว ป้ายราคาเดินทาง และตะกร้าปริศนา รวมทั้งเป็นที่พักในร่มของเหล่าวิน ทั้งที่หน้าบ้านก็มีป้ายห้ามจอด และไม้กั้นกันรถจอดหน้าบ้าน แต่นี่ มีทั้งมอเตอร์ไซด์ และวิน
ไม่แค่นั้น ขากลับจากสีลม ลงจากรถไฟฟ้า ก็ต้องเจอเสียยิ่งกว่างานวัด เพราะนอกจากเหล่าวินมอเตอร์ไซด์ ผู้โดยสารรอรถ ก็ยังมีรถตู้ และคนของคิวรถตู้ มาเปิดโทรโข่งเชิญคนขึ้นรถตู้ เสียงดังลั่น บนถนนก็มีรถตู้จอดรออยู่คันสองคัน ที่เยอะก็คือแท็กซี่และสามล้อจอดเรียงรายยาวไปจนเกือบถึงหน้าซอย 4 จากรูปที่สามและสี่ จะเห็นได้ว่า ตรงนั้นเป็นจุดสุดของทางคู่ขนาน ถัดไปอีกนิด ก็เป็นปากซอย 4 ที่ปกติสมัยก่อน ก็เกิดอุบัติเหตุแถวนั้นเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะรถมักวิ่งแฉลบออกจากคู่ขนานไปเลนขวา หรือไม่ก็ชนกันตอนออกจากซอย 4 เพราะถนนมีอยู่เลนเดียว

คราวนี้แท็กซี่ผู้แสนมักง่ายก็จอดเรียงรายกันไปจนกินเลนเดียวของทางคู่ขนาน ถ้าไม่ทำให้รถออกจากคู่ขนานไม่ได้ ก็ต้องบังคับให้รถเบี่ยงออกจากคู่ขนาน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมาก ผมคิดว่าไม่ช้าไม่นาน ต้องมีอุบัติเหตุแน่นอน เพราะนี่ขนาดวันเสาร์ รถแท็กซี่ยังออกันขนาดนี้ วันธรรมดาย่อมมากกว่านี้แน่นอน
เมื่อรวมทั้งหมดแล้ว ความวุ่นวายที่หน้าบ้านก็บังเกิด จากที่เคยเงียบสงบ ก็มีครบหมด เหมือนปาร์ตี้เหล่ากรรมาชน บวกกับงานวัด ผมไม่ได้แอนตี้พวกเขาหรอกนะ แต่การสร้างความวุ่นวาย และไร้ระเบียบแบบนี้ก็ไม่ไหว กลายเป็นการรบกวนกันเปล่าๆ ทั้งที่ก่อนจะเปิดรถไฟฟ้า ก็ไม่เห็นมีใครสักตัวมาขออนุญาติผู้อยู่อาศัยกันสักคำ พอรถไฟฟ้าเปิดปุ๊บ ไอ้ที่ไม่เคยมี ไอ้ที่ไม่เคยโผล่มารับเวลาจะต้องเดินทาง ก็มาออกันอยู่หน้าบ้านเป็นสิ่งไม่ได้รับเชิญที่มาพร้อมรถไฟฟ้า
ปล. วันอาทิตย์บ่าย โผล่หน้าจากหน้าต่างบ้าน ก็ไม่มีเหล่าวินมอเตอร์ไซต์แล้ว เหลือบดูก็จะเห็นคุณตำรวจมายืนจัดการอยู่ใกล้บ้าน ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ทำให้เหล่าความวุ่นวายเช่นนั้นออกไปพ้นบริเวณบ้านด้วยครับ

06 May 2009

คิดจะทำ

(photo by K. Sakai)
เห็นพ็อกเก็ตบุ๊คนำเที่ยวญี่ปุ่นหลายเล่มที่วางขายในร้านหนังสือขณะนี้ เหมือนจะมีแต่ญี่ปุ่นทั่วประเทศ หรือไม่ก็เฉพาะกรุงโตเกียว จะมีบ้างหรอมแหรมคือเกียวโต
สำหรับโตเกียวนั้น ผมเชื่อว่ามีนักเขียนหลายท่านให้ข้อมูลพาเที่ยวทะลุปรุโปร่ง แม้ความจริงโตเกียวเปลี่ยนไปเร็วไว ต้องอัพเดตกันแทบทุกไตรมาส ทว่าที่หลายเล่มนำเสนอก็ครบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้ว ที่เหลือก็ต้องอัพเดตกันเอาเองบ้าง อยู่ที่ว่าอยากได้อารมณ์นำเที่ยวแบบใด แบบชนิดเที่ยวครั้งแรก เที่ยวตามทัวร์ หรือเที่ยวแบบอยู่นานๆ เดินเรื่อยเปื่อย ช้อปปิ้ง หรือยลงานศิลปะ เหล่านี้มีผู้รู้เขียนไว้แล้วทุกแบบ ผมเองก็เคยแนะนำไปหลายเล่มเหมือนกัน เดี๋ยวจะเอาลิ้งค์มาแปะให้ตามอ่านกันนะ
แต่สำหรับเมืองอื่นๆ ของญี่ปุ่น จะหาได้เป็นเรื่องสั้นๆ ตามไกด์บุ๊คญี่ปุ่นทั้งประเทศ ทั้งที่ความจริง แต่ละเมืองก็น่าสนใจมิใช่เล่น ยิ่งตอนนี้สายการบินไทยตลอดจนทัวร์ไทยเองก็เลือกที่จะลง/กลับ ที่สนามบินนาริตะ และกลับ/ลง ที่สนามบินคันไซ ซึ่งก็ต้องผ่านทั้ง เกียวโต นารา โอซาก้า และโกเบ เป็นธรรมเนียม แต่เมืองเหล่านี้กลับไม่ค่อยมีใครเขียนถึงเท่าไหร่
ก็ด้วยความที่ไปโอซาก้า และโกเบ ค่อนข้างบ่อย และอยู่ค่อนข้างนาน ขณะที่น้องที่เคยทำงานออฟฟิต (ตอนนี้เป็นเจ้าของกิจการเสื้อยืดศิลปิน ในนาม Tommy BEANS) มีคนรู้ใจเป็นชาวเมืองเกียวโต และมักไปขนของมาขายอยู่เนืองๆ
เลยมาคิดกันเล่นๆ ว่าน่าจะลองเขียนหนังสือท่องเที่ยวเขตคันไซซะเลย (อันที่จริงก็ไม่คันไซหรอกนะ แค่โอซาก้า โกเบ และเกียวโต ก็แย่ละ) หรือไม่ก็แค่โอซาก้า กันไปเลย อันว่าโอซาก้า เป็นเมืองใหญ่อันดับสอง รองจากโตเกียว ความเจริญก็รองจากโตเกียวและปริมณฑล ทั้งยังถือเป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญและใหญ่เป็นอันดับต้นของญี่ปุ่น ที่สำคัญมาโอซาก้า ต้องมาหม่ำให้หนำใจ
ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นเจรจา ซึ่งก็หมายความว่า ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนั่นเอง แต่ก็คงจะเริ่มๆ ในไม่ช้า คาดว่าไม่เกินปลายปีนี้คงรู้ผล
มีของดีอยู่ในมือแล้วทำไมจะไม่ปล่อยของล่ะ จริงมั้ยครับ

04 May 2009

อาถรรพ์

เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ไปเที่ยวเชียงใหม่ ก็ไปเที่ยวกลางคืนตามปกติ รวมทั้งสิ้น 3 คืน แต่ละคืนก็มีเรื่องราวเซ็งๆ เกิดขึ้น อย่างคืนแรก น้องในกลุ่ม ก็เหวี่ยงถังน้ำแข็งใส่โต๊ะข้างๆ ซะงั้น! คืนที่สองก็มีคนตีกันโต๊ะข้างๆ คืนที่สาม กิ๊กน้องในกลุ่มอีกคนก็เกิดวีนแตกโดยไร้สาเหตุ (แต่คาดว่าเพราะเมา)
ช่วงสงกรานต์เกิดเรื่องเหวี่ยงๆ รักๆ ใคร่ๆ ทำให้เซ็งๆ มากถึงมากที่สุด เหตุก็เพราะเที่ยวกลางคืนแล้วก็หลุดโน่นนี่นั่นโน่น ทั้งที่สาเหตุก็นิดเดียว ด้วยความซวยของการเที่ยวกลางคืน ก็เลยขอหยุดพักร่าง กอปรกับ (สาเหตุหลัก) ตั้งแต่เดือนเมษายน จนเข้าเดือนพฤษภาคม ตัวเลขผลประกอบการตัวเองติดตัวแดงเถือก หากยังซ่าเที่ยว ก็จะไม่มีเงินเก็บสำหรับสิ้นปีแน่นอนอย่างที่สุด ก็เลยหยุดเที่ยว
ล่าสุด ไปหัวหิน ตั้งใจอย่างแรงจะเที่ยวให้สนุก ทั้งงานฮอนด้า มิวสิค เฟต ไปจนถึงเที่ยวกลางคืนโน่นนี่ถ้าเวลาอำนวย ปรากฏว่า ห้องพักก็ไม่มี งานดนตรีก็แย่ อย่างที่เขียนถึงไปคราวที่แล้ว ก็เลยต้องถ่างตานั่งรถกลับบ้านในคืนนั้นอย่างทุลักทุเล และเหนอะหนะที่สุดเท่าที่เคยไปหัวหินถิ่นไฮโซ
ทั้งหลายทั้งปวงที่เล่ามา เป็นเรื่องของการเที่ยวกลางคืนโดยแท้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ว่าจะแย่ถึงแย่มากที่สุดได้เพียงนี้ ก็เลยยืนและยันว่า ต้องละเลิกเที่ยวกลางคืน จนกว่าอะไรๆ จะดีขึ้น ...ซึ่งก็ยังไม่รู้เมื่อไหร่ แต่เอาเป็นว่าขอสัก 3 เดือนก็ท่าจะพอเหมาะพอควร
ใครกันนะ สาปแช่งข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ ช่างร้ายกาจนัก!!!

03 May 2009

Brazilian Chicken Noodle

ซื้อบะหมี่กระป๋องมาหลายอัน ตั้งแต่เมื่อครั้งไปญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้วโน่น มีความสุขกับการได้เห็นบะหมี่กระป๋องหลากหลายแบบ และทุกครั้งก็จะเลือกซื้อรสแปลกๆ กลับมาลองหม่ำ หลายครั้งก็หม่ำไปตามปกติ แต่ไหนๆ บางรสก็อาจจะไม่ได้เจออีกแล้ว (ก็เป็นได้) เลยคิดจะนำมาบันทึกไว้
รสแรกที่นำมาให้ยล (อยากชิมด้วยมั้ยล่ะ) คือ Brazilian Chicken อ้อ... ลืมบอกไปว่าคัพนู้ดเดิ้ลญี่ปุ่นมีไซส์ Big ขนาดใหญ่กว่าปกติ ข้อมูลบนกระป๋องบอกว่า 400ml อิ่มเลย!
หน้าตาก็เช่นนี้ เนื้อไก่รมควัน (คิดว่านะ เพราะสีและรสชาติไม่เหมือนไก่ปกติ ออกเค็มนิดๆ) มันฝรั่ง ไข่
และผักอื่นๆ รสออกเค็มและมีกลิ่นหอมๆ คล้ายครีมนม อร่อยดี แต่ก็ไม่ถึงกับประทับใจมากมายนัก

Behind the Scene "Honda Music Fest @ Hua Hin 2009"

เบื้องหน้า

ไปหัวหินเที่ยวนี้แบบไม่เตรียมตัวใดๆ แค่มีคนชวนไป Honda Music Fest @ Hua Hin ก็ตกลงไป เพราะทุกครั้งไปหัวหินก็ชิวๆ ยังไงก็มีที่พักเกร๋ๆ และก็เลิฟหัวหินเป็นมากมาย
เดินทางตอนสาย ไปถึงหัวหินรถติดแสนติด ก่อนถึงวังไกลกังวลยาวไปถึงเขาตะเกียบ แถมที่พักราคาถูกเต็มหมด ยาวไปถึงชะอำ!!! ก็ช่างมัน เอาไว้คิดกันทีหลัง ว่ากันเรื่องทีหน้าดีกว่า ต้องไปร่วมงาน ที่เขาว่าปีที่แล้วเกร๋มาก ไปถึงซอยเขาตะเกียบ รถติดแสนติด ก็เลยต้องทิ้งรถไว้ข้างทาง เดินไปถึงหาดราว 40 นาที!! ก็ได้พบกับภาพที่เห็น คือคนแน่นมาก แม้จะมีคนทยอยออกเยอะมากเช่นกัน คนไปสัก 90% มีแต่เด็กแนว และผู้ใหญ่แนวๆ แน่ขนัดเต็มหาด
ไปถึงราวเที่ยงคืน พบว่าน้ำทะเลกำลังขึ้น จากเวทีบนหาด เริ่มกลายเป็นเวทีกลางน้ำ ก็มิได้หวาดหวั่น ผู้คนก็ยังเต้น เล่น กันในทะเลที่กำลังขึ้น อันนี้น่ากลัวมาก เพราะคนเริ่มเมา ให้ไปเต้นรำกันในน้ำ คิดได้งัย แม้จะไม่ลึกมาก แค่เข่า แค่อก แต่คนเมาก็ไม่มีความสามรถพอที่จะช่วยตัวเองได้ ไม่ทันขาดคำ ก็มีเจ้าหน้าที่ช่วยกันหามผู้บาดเจ็บขึ้นมาจากน้ำ ทราบว่าเมาแล้วหลับ จึงจมน้ำ มิรู้เป็นตายร้ายดี แต่ดนตรีก็ยังสนุกต่อไป!!
เบื้องหลัง
ไม่ได้คิดจะมองโลกในแง่ร้าย แต่เห็นกับตา แล้วก็ปลง ว่าขยะเกลื่อนเต็มหาด ยิ่งน้ำขึ้น น้ำทะเลก็พัดพาเอาขยะทั้งหมดมากองรวมกันบนหาด ที่เหลือก็ลอยเคว้งในน้ำที่เหล่าผู้รักในเสียงเพลงกำลังเต้นรำอย่างเพลิดเพลิน

ถ้าได้สติ จะรู้กันมั้ยนะว่า นอนกลิ้ง วิ่งเล่นกันในน้ำ ท่ามกลางกองขยะที่พวกคุณๆ ทำขึ้นมาเอง
สรุปก็คือ ไม่ใช่แนวดนตรีที่ชอบเลยสักนิด แร๊กเก้ บอซซ่า แบบโจ๊ะๆ ตามสไตล์เด็กและผู้ใหญ่แนว กะว่าจะไปนั่งดื่มกินชิวๆ ก็เจอผู้คนที่ว่ากันว่า ปีที่แล้วมากัน 100000 ปีนี้มา 250000 คน ล้นทะลักเกินจริงอย่างยิ่ง อดรนทนรอได้ไม่นานก็โบกมือลาดีกว่า กลับแบบไม่มีที่พักแถมเซ็งกับงานคราวนี้ เลยขออึดฮึดกลับกรุงเทพทันที!!
ก่อนกลับมีส้ม อมรา ขึ้นแสดงสไตล์สาวซ่าแบบงงๆ แว่วว่าปิดท้ายด้วย โจอี้ บอย ก็ยิ่งไม่ใช่แนวเราอย่างแรง จะว่าไปงานนี้ก็ดีกับการท่องเที่ยว แต่เกินกว่าจะรองรับแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ อย่างน้อย ก็ต้องไม่ให้เต้นรำในน้ำ และขยะต้องไม่มากมายมหาศาลเช่นนี้ ตลกกว่านั้นคือความไร้ระเบียบ ปล่อยให้รถน้ำแข็งของร้านค้าในงานมาจอดรถปิดทางเข้าออกซะงั้น ถ้าเกิดเรื่องเกิดราวอะไรไม่คาดคิด ก็ไม่อยากคิดว่าจะมีอะไรต่อไป
ชีวิตราคาแสนถูกจริงๆ
ปล. ไม่ได้คิดจะจับผิด แต่อยากให้ช่วยกันปรับปรุงดูแลสถานที่ท่องเที่ยวของพวกเราๆ ไม่ใช่แค่เที่ยวและเมาไปวันๆ หรือแค่ต้องการให้คนมากันเยอะๆ
หมายเหตุ... เอมี่ ไวน์เฮ้าส์ ก็มา แต่ออกจะเพี้ยนกว่าตัวจริง คิกคิก