12 October 2010

คิดถึง

คิดถึงบล็อก ไม่ได้อัพเดตนานละ

ไว้จะมาเม้าท์มอยนะทุกท่าน

12 August 2010

Tokyo Tower


ผมซื้อนิยาย "โตเกียวทาวเวอร์ แม่กับผม และพ่อในบางครั้งคราว" ตั้งแต่หนัง "Tokyo Tower รักยิ่งใหญ่ หัวใจให้เธอ" ลาโรงบ้านเราไปได้สักพัก (ประมาณปลายปี 2551) ที่ไม่ดูหนังเรื่องนี้ (คือเรื่องเดียวกันทั้งนิยาย และหนัง) เนื่องจากอยากอ่านนิยายให้จบก่อน และคิดว่าซื้อดีวีดีดูทีหลังก็ได้ อยากอ่านนิยายให้เต็มอิ่มกับพรรณาก่อนจะมาดูหนัง ที่คงย่นย่อเรื่องไปพอควรตามข้อจำกัดของหนัง

พอได้หยิบอ่านครั้งแรก อ่านไปได้สองสามบท ก็เริ่มเบื่อ เพราะผู้เขียนบรรยายสภาพตอนเด็ก แม่ พ่อ ยาย และย่า อย่างละเอียดละออ มีการตัดพ้อ การบรรยายสภาพที่แปรเปลี่ยนไป ทั้งสถานที่ และคน ...ทำไมมันช่างยืดยาด ว่าแล้วก็คั่นไว้ไม่อ่านต่อ (จริงๆ ผมมันคนไม่ชอบอ่านบทต้นๆ ของนิยายต่างหากล่ะครับ ไม่ใช่ความผิดปกติของนิยายเรื่องนี้)

กระทั่งเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว มีเหตุให้ต้องนำร่างผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ก่อนไปผ่าตัดก็ตั้งใจว่าจะเอาหนังสือไปอ่าน เผื่อจะเบื่อ เผื่อจะอยู่เซ็ง นึกได้ว่ายังอ่านโตเกียว ทาวเวอร์ไม่จบ ก็เลยหยิบเล่มนี้ติดมือไปโรงพยาบาลด้วย


จริงดังว่า ผ่าตัดเสร็จ ก็เบื่อ เนื่องจากแผลเล็ก หายเร็ว ไม่เจ็บมาก จึงนำหนังสือเล่มที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อให้จบ..


จากสิ่งที่เขาปูเรื่องไว้ ให้รู้สึกว่าน่าเบื่อ ทว่า มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกร่วมไปกับความธรรมดาที่ผู้เขียนบรรยายไว้ "แม่" เริ่มเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของตัวละครในเรื่องมากขึ้น ตัวละครอื่นๆ เริ่มจางไป แต่กลับทำให้เห็นภาพว่าแม่ของแม่ และแม่ของพ่อ และพ่อ สำคัญกับชีวิต และความผูกพันที่เกิดระหว่างเขากับแม่ กระทั่งเกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับแม่


ตัวละครเอก อายุราวคราวเดียวกันกับผม แม่ในนิยาย ก็รุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผม ต่างกันตรงที่ผู้ป่วยในเรื่องคือแม่ ในชีวิตจริงคือผม ซึ่งก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าแม่ในนิยาย คนที่เฝ้าไข้แม่ในนิยายก็คือตัวเอก ส่วนชีวิตจริง ทั้งพ่อและแม่มาเฝ้าไข้แทบจะไม่ห่างกันเลย


นอนบนเตียงพยาบาล ก็อ่านนิยายไป ก็ยิ่งได้บรรยายากาศ เนื้อเรื่องงวดเข้าไปทุกขณะ ก็เริ่มรู้สึกหดหู่ ...ไม่ไหวแล้ว ยิ่งอินไปกับเนื้อเรื่อง เพราะแค่เราปวดถุงน้ำดีก่อนหน้าที่จะผ่าตัดก็แทบแย่ ต้องให้ยาจำพวกเดียวกับมอร์ฟีนเพื่อระงีบการปวด แล้ว "แม่" ในเรื่องไม่เจ็บกว่าเรามากมายหรือ


ไม่ไหวแล้ว ...อ่านต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะยิ่งเศร้า ยิ่งสงสาร "แม่" ในเรื่องมาก น้ำตาก็ไหลพราก ร้องไห้กระซิกๆ ก่อนที่จะปล่อยโฮ !! คือร้องไห้งอแง น้ำตา น้ำมูกไหล แบบไม่ห่วงสวยกันเลย (เพราะอยู่คนเดียวในห้องผู้ป่วยน่ะ) ทรมานการอ่านในสภาพของเราเช่นนั้น ราวกับอยู่ในนิยายด้วย


จึงต้องหยุดการอ่านไว้แค่นั้น และก็ไม่กล้าหยิบขึ้นมาอ่านอีกเลย กระทั่งทุกวันนี้ เพราะพอจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ "แม่" ในท้ายที่สุด ...ขนาดแค่นี้ยังอ่านไม่ไหว แล้วตอนจบไม่เศร้าใจสลายไปเลยหรือนี่


ส่วนดีวีดี ก็ซื้อหลังจากที่วางขายได้ไม่นาน คิดว่ายังไงก็จะดูแน่นอน แต่มาวันนี้ชักไม่แน่ใจซะแล้วว่าจะดูไหว ก็ยังห่อพลาสติกเอาไว้เหมือนเช่นวันที่ซื้อมา ยังไม่มีแววว่าจะกล้าพอที่จะหยิบมาดูวันไหน


แต่ที่แน่ๆ คงต้องเป็นหลังจากที่อ่านนิยายให้จบเสียก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อยู่ดี


ที่เขียนมาทั้งหมด เหมือนจะเป็นเรื่องเศร้าของ "แม่" ที่ดันมาเขียนวันแม่ ก็แค่อยากบอกว่า ชีวิตไม่ใช่นิรันดร์ ไม่รู้วันไหนจะกลับสู่พื้นดิน เมื่อวันนี้ คุณๆ ยังมีแม่ ที่รักและห่วงใยเราอย่างเสมอต้นเสมอปลาย คุณๆ ก็ควรใช้ชีวิตร่วมกับคุณแม่ (และคุณพ่อ) ให้เป็นเวลาที่ดี และมีความสุขที่สุด จะได้ไม่นึกเสียดาย ยามที่เขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว


ทุกวันนี้ ทุกวันอาทิตย์ จะให้เป็นวันที่อยู่กับพ่อและแม่ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันครับ เพื่อนๆ สนิทๆ ก็จะรู้ และไม่ชวนไปไหนวันอาทิตย์ นี่คือหนึ่งในสิ่งเล็กๆ ที่ผมพอจะทำให้แม่และพ่อได้ แต่เทียบไม่ได้กับสิ่งดีๆ ที่ทั้งสองมอบให้มาทั้งชีวิต


สุขสันต์วันแม่ และของให้แม่ทุกๆ คนบนโลกนี้มีความสุขที่สุดครับ


รักม่าม้านะ <3

26 April 2010

เพราะอะไร?

เมื่อวานคุณ A (นามสมมุติ) โพสต์สเตตัสบน facebook "รายการคลายปมดิ นอนดูไปน้ำตาไหลไป ทำให้ผมเกลียดไอ้พวกตำรวจเหี้ยๆ ที่ไล่ตีชาวสีลม แม่งไอ้ตำรวจหัวควย ไอ้สัด"

ก็มีคนมาคอมเม้นต์ต่างๆ ต่อไปนี้

"ทนดูไม่ได้"

"เราจะทำอย่างไรกับไอ้ตำรวจดีนะ"

"ตอนนี้เหมือนหลายๆฝ่ายปล่อยให้เวลามันผ่านล่วงเลยไปวันๆ ซึ่งก็ไม่เข้าใจกระบวนการของฝ่ายที่บอกต้อการรักษากฏหมาย ก็เห็นแต่คนทำผิดกฏหมายตลอดเวลา แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น ... กลับกลายเป็นการสร้างบรรทัดฐานใหม่ในสังคมในการเรียกร้อง อีกหน่อยใครมานั่งปิดถนนไหนก็คงไม่ผิดแล้วแหละ ปล. เริ่มเบื่อรัฐบาล ทำไงดี"

"ดูอยู่เหี้ยจิงๆ"

คุณ B เข้ามาโพสต์ตอบว่า "เกลียดตำรวจ"

แล้วคุณ A เจ้าของกระทู้ก็มาตอบว่า "อย่าไปให้มันแดกอะไรนะคับพี่ๆ ให้ทหารอย่างเดียวพอ ไอ้พวกตำรวจอย่าให้กิน เลว เกลียดแม่ง"

ผมก็เลยเข้าไปถามเขาว่า "เขาพูดถึงตำรวจอย่างไรบ้างหรอคับ สงสัยอยู่เหมือนกันที่คนไม่ชอบตำรวจช่วงสาม-สี่วันนี้ เพราะอะไร แต่ไม่ได้ตามว่าเพราะอะไร"

สักพักคุณ B ก็ตอบกลับว่า "@Koko ไม่ต้องมีใครพูดถึงพวกตำรวจเลว หรอกคะ ดูจากการกระทำก็แล้วกัน ลองหาคลิปดูเองนะ ที่แน่ๆๆ ช้านนนนนนน เกลียดตำรวจ"

แล้วคุณ A เจ้าของสเตตัสก็เข้ามาอธิบายเพิ่ม "ตำรวจมันเหี้ยไงพี่ เหี้ยยังไงเหรอคับ พวกมันไล่ตีคนสีลม คนเสื้อหลากสี ที่ชุมนุมปกป้องพื้นที่ทำกินของพวกเค้า แทนที่ไอ้สัดเดรรัจฉานสีกากีเหล่านี้มันควรจะไปปกป้องคนสีลม มันกับไปไล่ตีเค้า และยังฉายสปอทไลน์ไปทางกลุ่มชาวสีลม เพื่อให้พวกเสื้อแดงมันเห็นเป้าหมายไดชัดเจน แค่นี้พวกมันเหี้ยไหมครับพี่"

ผม ไม่รู้เสือกหรือเปล่า คิดอยู่นานก็เลยตอบไปยาวๆ "โอเค เก็ตละ ว่าเหมือนอย่างที่คิด ขอบคุณครับ ^^

ขออธืบายถึงเฉพาะประเด็นของตำรวจครับ เพราะจากเหตุผลเหล่านี้ ดูเหมือนคนส่วนใหญ่กำลังเข้าใจตำรวจผิด

ถือซะว่าเป็นอีกมุมครับ เพราะได้ไปร่วมกับคนสีลม วันอังคาร + พุธ (แต่กลับก่อนที่จะตีกัน) ตำรวจค่อนข้างจะเกรงใจผู้ชุมนุม ไม่กล้าบอกให้ผู้ชุมนุมสีลมออกจากถนนสีลมเลยด้วยซ้ำ

ขณะที่ผู้ชุมนุมสีลมส่วนหนึ่งอารมณ์ร้อน มีรถบรรทุกแปะสติ๊กเกอร์เสื้อแดงผ่านมา ก็บล็อครถเขาแล้วเข้าไปขูดสติ๊กเกอร์ และทุบกระจก หรือผู้หญิงสวมเสื้อแดงนั่งในแท็กซี่ ผู้ชุมนุมก็จะเข้าไปกระชากเขาออกมาจากรถ เหล่านี้คนที่ดูทีวี อาจไม่ค่อยได้เห็น หรืออาจจะไม่ค่อยเป็นประเด็น คลิปวิดีโอก็คงไม่ค่อยมีคนใส่ใจ ว่าคนสีลมก็อารมณ์ร้อนไม่แพ้กัน ขณะที่เสื้อแดงก็พูดยั่วยุออกลำโพงเสียงดังตลอดเวลา ก็ยิ่งเพิ่มความโมโหของคนสีลม

คืนที่ตีกันคืนแรก ตำรวจก็ไม่ได้จับกุมใคร หรือทำร้ายใคร (มั้งครับ)

ทำให้เข้าใจได้ในวันที่เกิดระเบิด ก็จะต้องมีคนไม่พอใจมากๆ ที่เห็นความสูญเสีย ขณะเดียวกันก็น่าเห็นใจตำรวจ เพราะถ้าพี่เป็นตำรวจ ก็คงจะห้ามปรามคนฝ่ายสีลมที่ดูจะคุมง่ายกว่า และไม่มีอาวุธร้ายแรงเหมือนคนเสื้อแดง จะให้ตำรวจบุกไปปราบเสื้อแดง พี่ก็ว่าตำรวจคงไม่ทำ เพราะวันที่ 10 เมษา ขนาดทหารไปปราบ ยังตายคาสีแยกคอกวัว ทะลึ่งบุกเข้าไปห้ามเสื้อแดง โดนระเบิดมาตำรวจก็ตายอยู่ดีมั้ย

เวลา 5 ทุ่ม วันพฤหัส ที่มีกลุ่มคนอีกกลุ่มกลับเข้าไปจะลุยเสื้อแดง ทราบว่าตำรวจก็เข้าไปห้าม แต่ถูกผู้ชุมนุมทำร้าย เข้าใจว่ากลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มนั้นคงโกรธตำรวจว่าทำไมมาห้ามตน (เหมือนที่หลายคนเข้าใจ) ตำรวจก็ต้องจับกุมไป เพราะถ้าไม่จับไปก็คงไม่หยุด แต่ที่สุดก็ปล่อยตัววันต่อม

ที่พิมพ์มาทั้งหมด ไม่ได้จะเข้าข้างใคร แต่เผอิญได้เห็นและลองประมวลดูว่า มันน่าจะมีที่มาที่ไปเช่นนี้ แต่ถ้ามีเหตุผลอะไรที่พี่ไม่ทราบ ก็ยินดีรับฟังข้อมูลต่างๆ และขอโทษไว้ ณ นะคับ

ส่วนประเด็นอื่นไม่มีข้อโต้แย้งครับ^^"

สักพักคุณ B ก็เข้ามาตอบ "เราก็อยู่ที่สีลมในคืนนั้น ระเบิดมาลงตรงที่ ชาวสีลมอยู่ แล้วบาดเจ็บกัน อยากถามว่าทำไมตำรวจไม่เข้ามาช่วยประชาชน เห็นวิ่งไปมุดหัวอยู่ข้างเสา ใต้หลังคาร้านค้า มีแต่ทหารวื่งออกมาช่วย จากนั้น ระเบิดของพวกสัตว์นรก ลูกต่อมาก็ลงอีก ที่นี้ลงหน้าธนาคารกรูงศรี โชคดีของเราที่กำลังเดินข้ามถนนจะกลับพอดี ยังต้องวิ่งย้อนกลับไปช่วยป้าคนนึง ที่เป็นลมอยู่ ขอถามคุณว่า เหตุการณ์ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะใคร ตำรวจทำไมไม่ออกมาช่วย หรือไปจับพวกมันละ ก็เพราะตำรวจมันขี้ขลาดไง แต่กลับมาไล่ทุบตีชาวบ้าน ทั้งๆที่พวกเขาไม่มีอาวุธเลยชาวสีลมเขาถึงโกรธถ้าคนที่โดนระเบิดเป็นญาติคุณ คุณจะโกรธมั๊ย ไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจไหม ที่แน่ๆๆ ช้านนนนนนนเกลียดตำรวจ พวกขี้ขลาด"

ก็รู้สึกว่าเขาอ่านไม่เคลัยร์ อ่านไม่แจ้งหรืออย่างไร ก็เลยขออธิบายเพิ่ม "ก็ตามที่บอกไปแล้วงัย ตำรวจกลัวตายงัย ก็เลยเคลียร์กะคนสีลมง่ายกว่างัยคับผม :)

เข้าใจว่าคุณ B โกรธ และมีสิทธิโกรธ ผมก็โกรธ เพราะผมก็ทำงานอยู่แถวที่พวกแดงมันปิดล้อม ต้องเจออะไรเซ็งๆ เสียววๆ ทุกวัน และก็โกรธที่พวกแดงหาว่าคนที่มาชุมนุมสีลมถูกจ้างมาหัวละ 500 ทั้งที่ผมและอีกหลายคนที่มาชุมนุม ต่างเป้นคนทำงาน+อยู่แถวนั้น เหมือนกับคุณ และผมแค่อยากให้ใจเย็นๆ และต้องการให้มองใจเขาใจเราอ่าคับ ตำรวจก็คน มีแต่กระบองกะโล่ พวกแดงมีระเบิด และพวกเขาสู้ไม่จำกัดรูปแบบอยู่แล้วคับ ขอถามคุณกลับบ้างครับว่า ถ้าญาติคุณ หรือคุณเป้นตำรวจในเหตุการณ์นั้น คุณจะบุกปราบม็อบแดงมั้ย ทั้งที่เห็นอยู่ว่าเคลียร์หรือคุยกะคนสีลมจะรู้เรื่องกว่าพวกนั้น

ไม่รู้ว่าคุณจะเข้าใจไหม ถึงผมจะไม่ชอบตำรวจ ไม่ชอบแกนนำเสื้อแดง แต่กรณีนี้ก็เห็นใจตำรวจเหมือนกันครับ

ปล. ไม่ได้โกรธคุณ B หรือใครก็ตามนะ แค่อยากอธิบายกรณีนี้ (กรณีเดียว) ในมุมมองของผมครับ ขอโทษด้วย ถ้าพืมพ์ไปไม่ถูกใจคับ^^

ขอโทษ A ด้วยคับ"

ระหว่างนั้นก็มีคนเข้ามาโพสต์เป็นระยะๆ "ไม่เคยให้ของเลยตำรวจ แต่พวกมันชอบไปเอาของทหารมากิน ไอ้กาฝาก เดะพรุ่งนี้ไปทำงานก่อน จะพุดแขวะพวกแม่ม"

"เหมือนกันเลยอ่ะ หมดคำพูด หมดคำบรรยาย หมดคำด่า เพราะด่าไปมันก็ไม่สน เหนื่อยอ่ะ"

และ "ผมด้วยครับพี่ๆ A เหงด้วยกับพี่ B ด้วยครับ ^_^
ทุกคนคนกทม.เข้าใจหมดแล้วครับพี่ๆว่าเปงกันอย่างไรบ้างๆๆ ยังงัยกอขอให้เหตุการณ์ร้ายๆๆๆๆ ผ้านพ้นโดยไว สงบสุข ไม่มีการสูญเสีย การทำร้ายใดใดด้วยเถอะครับ ผมขอภาวนาไว้ ณ ที่นี้ครับ"


________________________________________________________________________________________



จริงๆ น่าจะยังไม่จบคอมเม้นต์ เพราะคุณเจ้าของกระทู้หลับไปแล้ว (มั้ง) ถ้ามีต่อ เด่าได้ว่า คงมีคนตอบคอมเม้นต์ผมบ้าง ไม่มากก็น้อย จะดีหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ รู้แต่ว่า ได้เขียนอย่างกลางที่สุดแล้ว

ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผมเสือก หรือหวังดีแบบผิดกาละเทศะกันแน่ เพราะคนกำลังโมโหก็เสือกไปแย้งเขา และก็คิดว่า เรื่องแบบนี้ไม่น่าจะต้องไปเคลียร์ให้เปลืองตัว เผลอๆ พอคนอารมณ์ร้อน มีอคติ ก็จะถูกหาว่าเป็นอีกฝ่ายไปด้วย

ไม่เอาแล้ว เป็นบทเรียนว่าอย่าเสือกเรื่องชาวบ้าน!!

เห้อ สังคมเราเป็นอะไรไปแล้วนะ

เพราะอะไร???

22 April 2010

ถุงพลาสติกใบละบาท

นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร(กทม.) เป็นประธานการประชุมความร่วมมือเพื่อส่งเสริมลดปริมาณมูลฝอย ลดใช้ถุงพลาสติก ลดโลก โดยเชิญหน่วยงานทั้งจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมประชุมเพื่อเตรียมการจัดงานแถลงข่าวและลงนามความร่วมมือ ( MOU) ในวันที่ 22 เม.ย. บริเวณสวนสาธารณะจตุจักร

เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันลดภาวะโลกร้อน ด้วยการดำเนินโครงการ 45 วัน โดยมีสาระสำคัญในการดำเนินการร่วมกัน 3 ข้อ คือ 1.ดำเนินการประสานงานและสนับสนุนกิจกรรมที่นำไปสู่การลดใช้ถุงพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 2.ร่วมกันเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลดการใช้ถุงพลาสติกไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป และ 3.ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อให้ความร่วมมือเกี่ยวกับการลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างต่อเนื่อง

อยากขอความร่วมมือกับทางห้างสรรพสินค้าหรือห้างค้าปลีก โดยเก็บค่าถุงใบละ 1 บาท ซึ่งจะเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนลดการใช้ถุงพลาสติก และลดต้นทุนของผู้ประกอบการ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการภาษีถุงพลาสติก โดยต้องประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการดำเนินการดังกล่าว ว่าเป็นการลดต้นทุนการผลิตถุง และเป็นการช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกซึ่ง กทม. ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บและกำจัดถึง 1.78 ล้านบาท/วัน จากปริมาณถุงพลาสติกที่มีประมาณ 1,800 ตัน/วัน หรือร้อยละ 21 ของปริมาณขยะที่กทม.จัดเก็บได้ทั้งหมด 8,900 ตัน/วัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมได้หารือกันอย่างกว้างขวางถึงประเด็นการจ่ายค่าถุงพลาสติก 1 บาท ว่าอาจจะทำให้ประชาชนรู้สึกไม่พอใจ และไม่ยินดีจ่าย อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้มีการสรุปผลว่า อาจจะมีการชักจูงประชาชนโดยการขอความร่วมมือ ในการลดใช้ถุงพลาสติก หรือถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ถุงจริงๆ ก็อาจจะเป็นเงินบริจาคให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา ในลักษณะ โครงการ “ 1 บาท เพื่อพ่อหลวง ” หรือ หันมาใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติกไปเลย ก็น่าจะดี ซึ่งจะมีการรณรงค์ตามห้างฯ อย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 5 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลกด้วย

(ข่าวจาก http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=443836)


เพิ่มเติม: ตอนนี้มีห้างสรรพสินค้า และร้านค้าขนาดใหญ่เข้าร่วมโครงการนี้ 21 แห่ง ซึ่งจริงๆ หลายประเทศในยุโรปก็ทำกันเป็นปกติไปแล้ว และล่าสุดเมื่อปีที่แล้วที่ฮ่องกง คิดถุงละ 50 เซ็นต์ ซึ่งก็ดี เพราะทำให้เรารู้สึกว่า ควรจะเอาถุงผ้าที่เคยฮิตแจกกันจนเป็นขยะในบ้าน มาใช้ได้แล้ว

09 March 2010

อัพเดตชีวิต - ทำประกันแล้ว

ตั้งแต่ปีใหม่ ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นเรื่องเป็นราวเขียนลงในบล็อกนี้ และบล็อกโน้น ทั้งที่มีเรื่องจะให้เขียน และอยากเขียนเยอะแยะไปหมด อะไรดีๆ อะไรงงๆ ต่างเข้ามาในชีวิตเยอะแยะไปหมด เอาเป็นว่ามาอัพเดตชีวิตเล็กน้อยเพื่อไม่ให้ลืมกันไปเสียก่อน

เรื่องแรกที่นึกออกคือ อาทิตย์ที่แล้วเพิ่งจะได้ทำประกันภัย พลัส ประกันสุขภาพกะเขาเสียที หลังจาก 'ว่าจะ' มาหลายปี จนเมื่อปีที่แล้วถูกหามเข้าห้องผ่าตัด ก็ได้รู้ซึ้งและตั้งใจจะทำประกันเสียที แต่กว่าจะจรดปากกาเซ็นประกันก็เล่นเอาเหนื่อยเซลล์ประกันไปเหมือนกัน เพราะเอาแต่ผลัดวัน และเล่นตัวไปเรื่อย นี่มันชีวิตของใครกันเนี่ยะ!!

น้องเบน ผู้ช่วยที่ออฟฟิต บอกอย่างน่าคิด จนต้องของเรียกว่าเป็นนิยามของการทำประกันว่า "การช้อปปิ้งของที่เราไม่อยากได้" ...คงไม่ต้องอธิบายความนะ

ทั้งหมดทั้งปวง ก็ต้องตั้งอยู่บนความไม่ประมาท และมีสติ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ทำ ยิ่งอายุมาก ก็ต้องค่อยๆ อย่ารีบ ชีวิตไม่ได้ต้องการความรีบเร่งไปเสียทุกเรื่อง เรีื่องชีวิตเร่งๆ รีบๆ เนี่ยะ เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังต่อละกัน (ถ้าไม่ลืมนะ)

ไม่รู้จะยังมีใครตามอ่านหรือเปล่า เพราะเรื่องนี้ คงไม่เอาไปอัพลงใน facebook หรอกนะ :)