13 October 2016
14 June 2014
สงสารทหาร
ผมชอบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และหัวหน้า คสช. มาตั้งแต่เห็นท่านในตำแหน่ง ผบ.ทบ. ผมชอบที่ท่านมีท่าทางของความเป็นทหาร คือไม่ต้องตอบคำถามเอาใจสื่อ เอาใจชาวบ้าน เป็นแนวทหารห่ามๆ ชอบคือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ อะไรที่ตอบไปแล้ว ไม่ชอบให้ถามซ้ำไปมา ซึ่งนักข่าวสายทหารและการเมืองนิยมการถามคำถามวกไปวนมา ซึ่งก็เป็นวิธีหาข่าวของนักข่าว (ที่ค่อนข้างน่าเบื่อ)
ผบ.ทบ. ตรงไปตรงมากับความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และความเป็นไปของบ้านเมือง ที่ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งกัน ท่าออกมากล่าวถึงเรื่องความขัดแย้งในบ้านเมืองมานาน ว่าขอให้ทุกฝ่ายปรองดอง ยุติความขัดแย้ง และทหารจะขอไม่ยุ่งเกี่ยวในความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย
ผลคือ ทั้งสองคู่ขัดแย้ง ก็รุมด่า เรียกว่าเตือนไปทางนั้น อีกทางก็ด่า ไปยืนข้างนายกฯ อีกฝ่ายก็ด่า แต่ลึกๆ ต่างฝ่ายต้องการให้ทหารมายืนข้างตน
พลันเมื่อความขัดแย้ง มาถึงจุดเผชิญหน้า และใกล้เข้าสู่แตกหัก เพราะ "ทั้ง 2 ฝ่าย" ต่างไม่ยอมกันและกัน แนวโน้มึวามรุนแรง และสงครามกลางเมืองใกล้ปะทุ ชาวบ้านร้านช่องต่างก็ทราบดีถึงข้อนี้ ทหารจึงต้องดำเนินการอะไรสักอย่าง ในญานะที่ทั้งวิงวอน ทั้งเตือน และทั้งขู่ทั้งสองฝ่ายมานาน
จนเกิดการรัฐประหาร อย่างที่ทราบกัน
ผมไม่ชอบการรัฐประหาร เพราะรัฐประหาร คล้ายกับการใช้กำลังบังคับขืนใจให้จำยอม มันทำให้เราไม่เรียนรู้ที่จะเจรจา ไม่เรียนรู้ที่จะทำอะไรเพื่อบ้านเพิ่อเมืองอย่างที่ควรจะเป็น และการรัฐประหาร บางครั้งก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ถ้าเป็นไปในทิศทางที่คนต่อต้านรัฐประหารลุกขึ้นสู้ด้วยกำลังล่ะ บ้านเมืองก็เลี่ยงที่จะเกิดสงครามระหว่างคนในชาติด้วยกันไม่ได้อยู่ดี ...แต่ประเทศไทยโชคดี ที่การรัฐประหารครั้งนี้ราบรื่น
(อนึ่ง ผมไม่เคยชอบ ประชาธิปไตย ที่ให้ประชาชน ได้ใช้อำนาจผ่านการเลืองตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบไทยๆ ที่เหล่า ส.ส. ต่างต้องเคารพในมติพรรค เดินตามแนวทางของพรรคการเมือง ที่พรรคการเมืองก็ชอบอ้างความชอบธรรมที่มาจากเสียงของประชาชน ...ผมเลือก ส.ส. เพราะผมต้องการให้ ส.ส. ทำงานเพื่อราษฎรในท้องถิ่น ไม่ใช่ทำงานเพื่อพรรคการเมือง ผมจึงไม่เคยเคารพในตัวนักการเมือง ไม่เคยเคารพในตัว ส.ส. และรังเกียจการนอบน้อมต่อนักการเมือง)
ผมไม่ได้ดีใจ ที่เกิดการรัฐประหารครั้งล่าสุดนี้ แต่ผม "สบายใจ" ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องคอยกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อชีวิตของผม ต่อครอบครัว และต่อบ้านเมืองที่ผมอาศัย ผมต้องขอบคุณ ผบ.ทบ. ที่ตัดสินใจเด็ดขาดทำรัฐประหาร เพราะการรัฐประหารครั้งนี้ ได้ "ยุติ" การเผชิญหน้าจนหมดสิ้น แต่แม้การเผชิญหน้าหมดไป ก็ไม่ได้หมายความว่าคนในชาติกลับไปรักกันเหมือนที่เคยเป็นมา เพียงแค่ย้อนกลับไปสู่ก่อนการเผชิญหน้า ที่ยังคุกกรุ่น และพร้อมจะเผชิญหน้ากันอีก ...คุณๆ คงรู้สึกได้เอง
หลายคนที่เคยด่าทหาร ที่ไม่ออกมาเข้าข้างตนสักที พอสบโอกาสที่รัฐประหาร ก็เหมาเอาว่าทหารเข้าข้างตน กำจัดรัฐบาลอันเป็นศัตรู ต่างส่งเสียงดีใจ และรักทหาร ทำนองเดียวกันก็เยาะเย้ยอีกฝ่าย ที่ถูกเรียกตัว กักกัน และถูกจับ ทั้งที่ในความเป็นจริง เหตุผลในการรัฐประหาร ที่ ผบ.ทบ. ที่เป็นหัวหน้า คสช.อีกตำแหน่ง กล่าวย้ำเสมอว่า ที่ทำรัฐประหาร ก็เพื่อยุติความขัดแย้ง และเพื่อให้คนไทยกลับมารักกัน ปรองดองกัน
เอาจากที่เห็นแค่บนเฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์ ต่างฝ่าย ต่างก็ยังด่าอีกฝ่าย เหมือนก่อนเกิดรัฐประหาร สะใจที่อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ที่ตลกก็คือ หลายคนมองว่า ใครต้านรัฐประหาร ถือว่าเป็นฝ่ายเลว ซึ่งข้อหลังนี้ผมว่ามันแปลกดี ผมถือว่าเป็นสิทธิของพวกเขาที่จะแสดงออกในวิธีของเขา (แต่แสดงออกแล้วจะถูกจับกุม หรืออะไรก็เรื่องของเขา) เหมือนที่ผมถือว่าการแสดงออกของมวลมหาประชาขนที่เดินขบวนต่อต้านนิรโทษกรรมก็เป็นสิทธิที่พึงกระทำ หรือสิทธิที่ออกมาปิดถนนทั้งของเสื้อแดง (2553) และกปปส.(2556-2557) ที่มันไม่ควรจะถูกต้องแต่ทั้งสองฝ่ายก็อ้างว้ามีสิทธิ
ผมเองก็แสดงออกว่าไม่ขอบรัฐประหาร ในแบบของผม คือการพิมพ์ให้ได้ทราบทั่วกัน แต่ผมก็มีเหตุผลที่จะรู้สึกสบายใจดีกับการรัฐประหารครั้งนี้ เช่นเดียวกับเหตุผลที่หัวหน้า คสช.ท่านได้แจ้งเอาใว้ ในสถานการณ์ที่ทั้งไม่ชอบ และสบายใจกับการรัฐประหารครั้งนี้ ก็เลยลงท้ายด้วยความ "เฉยๆ"
ผมว่า ทั้งสองฝ่าย ไม่สนใจเรื่องปรองดอง ยังคงสนใจว่าใครจะเป็นผู้ชนะเบ็ดเสร็จ การจับมือปรองดอง ยุติบทบาทของพวกเสื้อแดง เป็นแค่การแสดง ตราบเท่าที่นักการเมือง คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งยังไม่ยุติ และปรองดองกันอย่างแท้จริง เดี๋ยวละครบทเดิมก็กลับมาอีก
ข้อความที่พร่ำบอกว่ารักทหาร ก็เป็นแค่ผลประโยชน์จากที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้รับ และรู้สึก เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นใครที่บอกว่ารักทหาร จะยอมปรองดองเพื่อเหล่าทหารอันเป็นที่รักสักราย (จะไปบอกว่าอีกฝ่ายไม่ปรองดองด้วย ไม่ใช่เหตุผลครับ เรื่องแบบนี้ ควรเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน)
ผมสงสารทหารครับ
ปล. ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมาเชื่อ หรือคล้อยตาม ทุกคนสามารถคิดเองได้ครับ ข้อความของผม ก็แค่เป็นหนึ่งเสียงเล็กๆ ในสังคมนี้ ที่ไม่อยากให้ใครขัดแย้งกันเพราะการเมือง
ผบ.ทบ. ตรงไปตรงมากับความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และความเป็นไปของบ้านเมือง ที่ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งกัน ท่าออกมากล่าวถึงเรื่องความขัดแย้งในบ้านเมืองมานาน ว่าขอให้ทุกฝ่ายปรองดอง ยุติความขัดแย้ง และทหารจะขอไม่ยุ่งเกี่ยวในความขัดแย้งของทั้งสองฝ่าย
ผลคือ ทั้งสองคู่ขัดแย้ง ก็รุมด่า เรียกว่าเตือนไปทางนั้น อีกทางก็ด่า ไปยืนข้างนายกฯ อีกฝ่ายก็ด่า แต่ลึกๆ ต่างฝ่ายต้องการให้ทหารมายืนข้างตน
พลันเมื่อความขัดแย้ง มาถึงจุดเผชิญหน้า และใกล้เข้าสู่แตกหัก เพราะ "ทั้ง 2 ฝ่าย" ต่างไม่ยอมกันและกัน แนวโน้มึวามรุนแรง และสงครามกลางเมืองใกล้ปะทุ ชาวบ้านร้านช่องต่างก็ทราบดีถึงข้อนี้ ทหารจึงต้องดำเนินการอะไรสักอย่าง ในญานะที่ทั้งวิงวอน ทั้งเตือน และทั้งขู่ทั้งสองฝ่ายมานาน
จนเกิดการรัฐประหาร อย่างที่ทราบกัน
ผมไม่ชอบการรัฐประหาร เพราะรัฐประหาร คล้ายกับการใช้กำลังบังคับขืนใจให้จำยอม มันทำให้เราไม่เรียนรู้ที่จะเจรจา ไม่เรียนรู้ที่จะทำอะไรเพื่อบ้านเพิ่อเมืองอย่างที่ควรจะเป็น และการรัฐประหาร บางครั้งก็ไม่ได้ราบรื่นเสมอไป ถ้าเป็นไปในทิศทางที่คนต่อต้านรัฐประหารลุกขึ้นสู้ด้วยกำลังล่ะ บ้านเมืองก็เลี่ยงที่จะเกิดสงครามระหว่างคนในชาติด้วยกันไม่ได้อยู่ดี ...แต่ประเทศไทยโชคดี ที่การรัฐประหารครั้งนี้ราบรื่น
(อนึ่ง ผมไม่เคยชอบ ประชาธิปไตย ที่ให้ประชาชน ได้ใช้อำนาจผ่านการเลืองตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบไทยๆ ที่เหล่า ส.ส. ต่างต้องเคารพในมติพรรค เดินตามแนวทางของพรรคการเมือง ที่พรรคการเมืองก็ชอบอ้างความชอบธรรมที่มาจากเสียงของประชาชน ...ผมเลือก ส.ส. เพราะผมต้องการให้ ส.ส. ทำงานเพื่อราษฎรในท้องถิ่น ไม่ใช่ทำงานเพื่อพรรคการเมือง ผมจึงไม่เคยเคารพในตัวนักการเมือง ไม่เคยเคารพในตัว ส.ส. และรังเกียจการนอบน้อมต่อนักการเมือง)
ผมไม่ได้ดีใจ ที่เกิดการรัฐประหารครั้งล่าสุดนี้ แต่ผม "สบายใจ" ที่ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพที่ต้องคอยกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อชีวิตของผม ต่อครอบครัว และต่อบ้านเมืองที่ผมอาศัย ผมต้องขอบคุณ ผบ.ทบ. ที่ตัดสินใจเด็ดขาดทำรัฐประหาร เพราะการรัฐประหารครั้งนี้ ได้ "ยุติ" การเผชิญหน้าจนหมดสิ้น แต่แม้การเผชิญหน้าหมดไป ก็ไม่ได้หมายความว่าคนในชาติกลับไปรักกันเหมือนที่เคยเป็นมา เพียงแค่ย้อนกลับไปสู่ก่อนการเผชิญหน้า ที่ยังคุกกรุ่น และพร้อมจะเผชิญหน้ากันอีก ...คุณๆ คงรู้สึกได้เอง
หลายคนที่เคยด่าทหาร ที่ไม่ออกมาเข้าข้างตนสักที พอสบโอกาสที่รัฐประหาร ก็เหมาเอาว่าทหารเข้าข้างตน กำจัดรัฐบาลอันเป็นศัตรู ต่างส่งเสียงดีใจ และรักทหาร ทำนองเดียวกันก็เยาะเย้ยอีกฝ่าย ที่ถูกเรียกตัว กักกัน และถูกจับ ทั้งที่ในความเป็นจริง เหตุผลในการรัฐประหาร ที่ ผบ.ทบ. ที่เป็นหัวหน้า คสช.อีกตำแหน่ง กล่าวย้ำเสมอว่า ที่ทำรัฐประหาร ก็เพื่อยุติความขัดแย้ง และเพื่อให้คนไทยกลับมารักกัน ปรองดองกัน
เอาจากที่เห็นแค่บนเฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์ ต่างฝ่าย ต่างก็ยังด่าอีกฝ่าย เหมือนก่อนเกิดรัฐประหาร สะใจที่อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ที่ตลกก็คือ หลายคนมองว่า ใครต้านรัฐประหาร ถือว่าเป็นฝ่ายเลว ซึ่งข้อหลังนี้ผมว่ามันแปลกดี ผมถือว่าเป็นสิทธิของพวกเขาที่จะแสดงออกในวิธีของเขา (แต่แสดงออกแล้วจะถูกจับกุม หรืออะไรก็เรื่องของเขา) เหมือนที่ผมถือว่าการแสดงออกของมวลมหาประชาขนที่เดินขบวนต่อต้านนิรโทษกรรมก็เป็นสิทธิที่พึงกระทำ หรือสิทธิที่ออกมาปิดถนนทั้งของเสื้อแดง (2553) และกปปส.(2556-2557) ที่มันไม่ควรจะถูกต้องแต่ทั้งสองฝ่ายก็อ้างว้ามีสิทธิ
ผมเองก็แสดงออกว่าไม่ขอบรัฐประหาร ในแบบของผม คือการพิมพ์ให้ได้ทราบทั่วกัน แต่ผมก็มีเหตุผลที่จะรู้สึกสบายใจดีกับการรัฐประหารครั้งนี้ เช่นเดียวกับเหตุผลที่หัวหน้า คสช.ท่านได้แจ้งเอาใว้ ในสถานการณ์ที่ทั้งไม่ชอบ และสบายใจกับการรัฐประหารครั้งนี้ ก็เลยลงท้ายด้วยความ "เฉยๆ"
ผมว่า ทั้งสองฝ่าย ไม่สนใจเรื่องปรองดอง ยังคงสนใจว่าใครจะเป็นผู้ชนะเบ็ดเสร็จ การจับมือปรองดอง ยุติบทบาทของพวกเสื้อแดง เป็นแค่การแสดง ตราบเท่าที่นักการเมือง คือผู้ที่อยู่เบื้องหลังความขัดแย้งยังไม่ยุติ และปรองดองกันอย่างแท้จริง เดี๋ยวละครบทเดิมก็กลับมาอีก
ข้อความที่พร่ำบอกว่ารักทหาร ก็เป็นแค่ผลประโยชน์จากที่ประชาชนกลุ่มหนึ่งได้รับ และรู้สึก เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นใครที่บอกว่ารักทหาร จะยอมปรองดองเพื่อเหล่าทหารอันเป็นที่รักสักราย (จะไปบอกว่าอีกฝ่ายไม่ปรองดองด้วย ไม่ใช่เหตุผลครับ เรื่องแบบนี้ ควรเริ่มต้นที่ตัวเราเองก่อน)
ผมสงสารทหารครับ
ปล. ผมไม่ได้ต้องการให้ใครมาเชื่อ หรือคล้อยตาม ทุกคนสามารถคิดเองได้ครับ ข้อความของผม ก็แค่เป็นหนึ่งเสียงเล็กๆ ในสังคมนี้ ที่ไม่อยากให้ใครขัดแย้งกันเพราะการเมือง
24 March 2014
เหยื่อ
ผมโพสต์สเตตัสบนเฟสบุ๊คเกี่ยวกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เกี่ยวกับการเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ดังนี้
"ได้อ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ชัดเจนในระดับหนึ่ง และรับได้กับคำวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะศาลฯ มุ่งพิจารณาที่ประเด็นเลือกตั้ง ไม่ได้พิจารณาเหตุที่ก่อให้เกิดประเด็นให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอให้ศาลฯพิจารณา (ใครที่คิดว่า "ครั้งนี้" ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่เป็นธรรม น่าจะลองอ่านข่าวจาก ลิ้งก์นี้ ให้จบก่อน)
อย่างไรก็ตาม มีเหตุใคร่รู้ (สาบานว่าไม่รู้จริง) คือ ที่เขาร้องเรียนว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจเสนอเรื่องนี้ และศาลฯ ก็ไม่ควรรับพิจารณานั้นจริงเท็จเป็นอย่างไร
ข้อสงสัยต่อมาคือ เหตุให้เกิดการไม่สามารถเลือกตั้งครั้งนี้ขึ้นในวันเดียวได้ ที่เราท่านทราบกันดี คือมีการขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้ง ประเด็นนี้ควรมีการจัดการอย่างไรเพื่อเป็นบรรทัดฐานในอนาคต ส่วนตัวคิดว่าสำคัญ หากวันหนึ่งกลายเป็นเสื้อแดงออกมาขัดขวางการเลือกตั้งของรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามแบบอหิงสาบ้าง แล้วจะเป็นอย่างไร จะรู้สึกกันอย่างไร
คำถามสุดท้าย แล้วคะแนนกว่า 20 ล้านเสียงที่ลงไปในวันเลิอกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ที่ถูกวินิจฉัยให้เป็นโมฆะ จะทำอย่างไรล่ะ ถึงจะโมฆะ แต่ก็เป็น 20 ล้านเสียงของประชาชน (อันนี้เป็นคนละประเด็นกับการถามถึงผู้ที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้)"
ไม่ทันข้ามคืน น้องที่สนิทกันมานานก็โพสต์ข้อความบนสเตตัสของเขา ดังนี้
"รู้สึกสมเพชกับสเตตัสของคนบางคน ที่อุตส่าห์ใช้วาทะกรรมอันสวยหร ู ใช้ภาษานักเขียนอย่างดิบดี แต่เนื้อความนั้นแสนตื้นเขิน... ยังต้องให้ตอบกันอีกหรือว่าถ้าว ันนึงเสื้อแดงออกมาขัดขวางการเล ือกตั้งแบบสันติ-อหิงสาบ้าง แล้วจะเป็นอย่างไร (ซึ่งคงจะไม่มีวันนั้น m79ที่กระหน่ำยิงใส่ศาลและบ้านผ ู้พิพากษาคุณกล้าบอกหรือว่าแดงไ ม่ได้ทำ?) 20ล้านเสียงที่ลงคะแนนไปแล้วก็เ ป็นเสียงของประชาชน (นี่ก็คงฟังมาจากบรรดานักวิชากา รลวงโลกขายวิญญาณอย่างไอ้วีรพัฒน์มา อีกที) บลาๆ... บทสรุปง่ายๆสั้นๆคือ "คนโง่มักอวดฉลาด" การพูดจาแบบนี้ถือเป็นการดูหมิ่ นอำนาจการตัดสินของศาล (ซึ่งนิสัยไม่ต่างกับเสื้อแดง) และดูถูกคนอีกหลายสิบล้านคนที่เ ค้าออกมาเสียสละทั้งเวลา แรงกาย แรงใจ นอนกับดิน กินกับทราย เสียสละกำลังทรัพย์ด้วยจิตศรัทธ า หวังจะให้ประเทศได้เดินหน้า ขจัดระบอบทักษิณให้หมดสิ้นจากแผ ่นดินไทย จากที่อ่านดู หลายคนมักจะออกตัวแรงไว้ก่อนว่า ตนไม่ใช่เสื้อแดง แต่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำของ กปปส. และไม่ชอบ พรรคปชป. ไม่ชอบคุณสุเทพ ฯลฯ แต่คุณรู้ไม๊ว่า นิสัยที่ดีแต่วิพากษ์วิจารณ์ว่า นู่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ดี มันคือการที่ "มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ"อย่างมา ก มันคือการบั่นทอนความเจริญของสั งคมและชาติบ้านเมืองที่มีคนที่ค ิดอย่างคุณอยู่ คุณจงมองดูชีวิตตัวเองเถอะว่า ทุกวันนี้คุณเกิดมาได้เคยทำอะไร ที่คุณได้รู้สึกภาคภูมิใจในตัวค ุณเองบ้าง (นอกจากการได้รับเชิญไปงานอีเว้ นท์เก๋ๆมากมาย) คุณตื่นเช้ามา คุณมองเข้าไปในกระจกแล้วคุณเห็น อะไรในนั้น... ลองนั่งย้อนมองชีวิตที่ผ่านมาจน เกือบจะ40ปีดูสิว่าเคยทำอะไรที่ ประสบความสำเร็จกับเค้าบ้าง หากทุกวันนี้ การที่คุณได้แต่นั่งเขียนสเตตัส เพื่อหวังที่จะบอกให้โลกรู้ว่าฉ ันฉลาด ฉันเก๋ ฉันคิดต่าง ขอบอกไว้เลยว่านั่น.. ไม่ได้ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้นมาเลย ตรงกันข้าม คุณกลับจะได้รับความสมเพชเวทนาจ ากคนที่ต้องมานั่งทนอ่าน (เพราะเขาอาจจะหลวมตัวมาเป็นเพื ่อนกับคุณในเฟซบุ๊ค) ชีวิตที่ยังเหลือ คุณก็ยังจะใช้ให้มันหมดไปอย่างไ ร้ค่าแบบนี้น่ะหรือ? น่าจะลองหยุดคิดดูบ้างนะ (ขออภัยถ้าหากจะมีใครที่กระทบกร ะเทือนจากสเตตัสนี้ และคุณสามารถ unfriend ผมไปได้เลยด้วยความยินดี)"
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นความตั้งใจเขียนถึงผมหรือบังเอิญมาพ้องกับสิ่งที่ผมเขียนพอดี
เมื่อผมไม่แน่ใจ ผมจึงอยากขอความเห็นจากท่านที่ได้เข้ามาอ่านบล็อคนี้ ว่าสิ่งที่ผมเขียน เป็นไปตามที่น้องเขาเขียนถึงหรือเปล่า เพราะผมเองรู้สึกเสียใจ หากเขาเขียนถึงผม เนื่องจากผมมักบอกกับใครๆ ว่า ไม่อยากให้คนรู้จักกัน เกลียดกันเพราะเรื่องการเมืองที่เกิดขึ้นเวลานี้ มันเป็นการเมืองที่อาศัยมวลชนเข้าต่อสู้กัน ถ้าอยากเกลียด ขอให้เกลียดแกนนำฝ่ายตรงข้าม ประชาชนอย่างเราท่านคือผู้รบสารปลายทาง
ย้ำอีกที่ว่าผมอยากรู้จริงๆ ไม่ใช่รู้แล้ว แต่แกล้งไม่รู้
"ได้อ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็ชัดเจนในระดับหนึ่ง และรับได้กับคำวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เพราะศาลฯ มุ่งพิจารณาที่ประเด็นเลือกตั้ง ไม่ได้พิจารณาเหตุที่ก่อให้เกิดประเด็นให้ผู้ตรวจการแผ่นดินเสนอให้ศาลฯพิจารณา (ใครที่คิดว่า "ครั้งนี้" ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไม่เป็นธรรม น่าจะลองอ่านข่าวจาก ลิ้งก์นี้ ให้จบก่อน)
อย่างไรก็ตาม มีเหตุใคร่รู้ (สาบานว่าไม่รู้จริง) คือ ที่เขาร้องเรียนว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินไม่มีอำนาจเสนอเรื่องนี้ และศาลฯ ก็ไม่ควรรับพิจารณานั้นจริงเท็จเป็นอย่างไร
ข้อสงสัยต่อมาคือ เหตุให้เกิดการไม่สามารถเลือกตั้งครั้งนี้ขึ้นในวันเดียวได้ ที่เราท่านทราบกันดี คือมีการขัดขวางการสมัครรับเลือกตั้ง ประเด็นนี้ควรมีการจัดการอย่างไรเพื่อเป็นบรรทัดฐานในอนาคต ส่วนตัวคิดว่าสำคัญ หากวันหนึ่งกลายเป็นเสื้อแดงออกมาขัดขวางการเลือกตั้งของรัฐบาลฝ่ายตรงข้ามแบบอหิงสาบ้าง แล้วจะเป็นอย่างไร จะรู้สึกกันอย่างไร
คำถามสุดท้าย แล้วคะแนนกว่า 20 ล้านเสียงที่ลงไปในวันเลิอกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ ที่ถูกวินิจฉัยให้เป็นโมฆะ จะทำอย่างไรล่ะ ถึงจะโมฆะ แต่ก็เป็น 20 ล้านเสียงของประชาชน (อันนี้เป็นคนละประเด็นกับการถามถึงผู้ที่ต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้)"
ไม่ทันข้ามคืน น้องที่สนิทกันมานานก็โพสต์ข้อความบนสเตตัสของเขา ดังนี้
"รู้สึกสมเพชกับสเตตัสของคนบางคน
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นความตั้งใจเขียนถึงผมหรือบังเอิญมาพ้องกับสิ่งที่ผมเขียนพอดี
เมื่อผมไม่แน่ใจ ผมจึงอยากขอความเห็นจากท่านที่ได้เข้ามาอ่านบล็อคนี้ ว่าสิ่งที่ผมเขียน เป็นไปตามที่น้องเขาเขียนถึงหรือเปล่า เพราะผมเองรู้สึกเสียใจ หากเขาเขียนถึงผม เนื่องจากผมมักบอกกับใครๆ ว่า ไม่อยากให้คนรู้จักกัน เกลียดกันเพราะเรื่องการเมืองที่เกิดขึ้นเวลานี้ มันเป็นการเมืองที่อาศัยมวลชนเข้าต่อสู้กัน ถ้าอยากเกลียด ขอให้เกลียดแกนนำฝ่ายตรงข้าม ประชาชนอย่างเราท่านคือผู้รบสารปลายทาง
ย้ำอีกที่ว่าผมอยากรู้จริงๆ ไม่ใช่รู้แล้ว แต่แกล้งไม่รู้
09 March 2014
เมื่อชาติเสียหาย ใครรับผิดชอบ
กลุ่มเทียนขาวควรไปเรียกร้องให้นปช.เลิกการแบ่งแยกดินแดน เพราะนั่นคือแนวคิดที่นอกจากจะก่อให้เกิดความรุนแรง ยังทำให้เกิดความแตกแยก
แกนนำนปช.จะแค่ให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีแนวคิดในการแบ่งแยกดินแดนไม่ได้ เพราะมีหลักฐานชัดเจนทั้งภาพ และคำพูดของคนระดับหัวหน้า แกนนำนปช.ถ้าจะพิสูจน์ความจริงใจก็ควรปลด และส่งตัวคนที่มีแนวคิดแยกดินแดนให้ไปรับโทษ ...นี่ไม่ใช่การกล่าวหา หรือกลั่นแกล้ง แต่เป็นสิ่งที่พวกคุณทำตัวเอง
เหมือนเช่นที่รํฐบาลทำตัวเองเรื่อง พรบ.นิรโทษกรรม และเรื่องจำนำข้าว แต่กลับจะโยนความผิดที่ปลายเหตุให้ผู้อื่น
ส่วนกปปส.ก็ต้องรับผิดชอบในการปิดกรุงเทพ ที่นอกจากจะไม่ทำให้นายกฯลาออก หรือไม่มีการเลือกตั้งได้ ยังทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต และทรัพย์สิน เดือนร้อนกับผู้ที่ถูกผลกระทบในการปิดกรุงเทพ และที่สุดก็ต้องเลิกการปิดกรุงเทพ แต่ก็ไม่เห็นแกนนำคนไหนออกมารับผิดชอบ นอกจากแจกเงินครอบครัวคนตาย และโยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้าม
อาทิตย์หน้ากปปส.จะตั้งเวทีปฏิรูปการเมือง อาทิตย์ที่ผ่านมาก็เพิ่งจะพูดถึงพิมพ์เขียวการปฏิรูป ทั้งที่จริงควรทำควบคู่กันไปกับการชุมนุม
ประชาชนทั้งสองฝ่ายได้แด่ความเพ้อฝัน ที่มาพร้อมกับความเคียดแค้น จากสิ่งที่แกนนำและโซเชียลเน็ตเวิร์คสุมเชื้อไฟไปเรื่อยๆ
ผมไม่มีคอมเม้นต์ว่าใครดีกว่าใคร ใครเลวกว่าใคร แต่ขอให้พวกคุณๆ ทั้งสองฝ่ายรอดูครับ รอดูว่าท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นไปอย่างที่แกนนำสร้างภาพฝันให้พวกคุณมั้ย
นปช. = แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
กปปส. = คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็น ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เพราะการเมืองก็คือการเมือง
แกนนำนปช.จะแค่ให้สัมภาษณ์ว่าไม่มีแนวคิดในการแบ่งแยกดินแดนไม่ได้ เพราะมีหลักฐานชัดเจนทั้งภาพ และคำพูดของคนระดับหัวหน้า แกนนำนปช.ถ้าจะพิสูจน์ความจริงใจก็ควรปลด และส่งตัวคนที่มีแนวคิดแยกดินแดนให้ไปรับโทษ ...นี่ไม่ใช่การกล่าวหา หรือกลั่นแกล้ง แต่เป็นสิ่งที่พวกคุณทำตัวเอง
เหมือนเช่นที่รํฐบาลทำตัวเองเรื่อง พรบ.นิรโทษกรรม และเรื่องจำนำข้าว แต่กลับจะโยนความผิดที่ปลายเหตุให้ผู้อื่น
ส่วนกปปส.ก็ต้องรับผิดชอบในการปิดกรุงเทพ ที่นอกจากจะไม่ทำให้นายกฯลาออก หรือไม่มีการเลือกตั้งได้ ยังทำให้เกิดการสูญเสียชีวิต และทรัพย์สิน เดือนร้อนกับผู้ที่ถูกผลกระทบในการปิดกรุงเทพ และที่สุดก็ต้องเลิกการปิดกรุงเทพ แต่ก็ไม่เห็นแกนนำคนไหนออกมารับผิดชอบ นอกจากแจกเงินครอบครัวคนตาย และโยนความผิดให้ฝ่ายตรงข้าม
อาทิตย์หน้ากปปส.จะตั้งเวทีปฏิรูปการเมือง อาทิตย์ที่ผ่านมาก็เพิ่งจะพูดถึงพิมพ์เขียวการปฏิรูป ทั้งที่จริงควรทำควบคู่กันไปกับการชุมนุม
ประชาชนทั้งสองฝ่ายได้แด่ความเพ้อฝัน ที่มาพร้อมกับความเคียดแค้น จากสิ่งที่แกนนำและโซเชียลเน็ตเวิร์คสุมเชื้อไฟไปเรื่อยๆ
ผมไม่มีคอมเม้นต์ว่าใครดีกว่าใคร ใครเลวกว่าใคร แต่ขอให้พวกคุณๆ ทั้งสองฝ่ายรอดูครับ รอดูว่าท้ายที่สุดแล้ว มันเป็นไปอย่างที่แกนนำสร้างภาพฝันให้พวกคุณมั้ย
นปช. = แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ
กปปส. = คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็น
เพราะการเมืองก็คือการเมือง
04 March 2014
บันทึกหลังวันเปิดกรุงเทพ
เมื่อวานคือการสิ้นสุดการ #ปิดกรุงเทพ ที่ต้องบอกว่า "กปปส.ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง" เนื่องจากเป้าหมายคือการบีบให้นายกรัฐมนตรีลาออก เพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศต่อไป รวมทั้งการปฏิรูปก็จะต้องเกิดขึ้นก่อนการเลือกตั้ง
ตลอดเวลาเดือนครึ่งของการปิดกรุงเทพ แม้กปปส.อาจมีส่วนทำให้รัฐบาลล้มเหลวในการบริหารงาน แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ลาออกตามวัตถุประสงค์ นอกจากนี้ ในระหว่างการปิดกรุงเทพก็ยังเกิดการเลือกตั้งขึ้นได้ (แม้จะมีการเรียกร้องให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะก็ตาม - และส่วนตัวก็มองว่า การที่หลายคนหยิบเอาเรื่องการเลือกตั้งผ่านมาครบ 30 วันมาเป็นประเด็นการรักษาการของรัฐบาล ก็เท่ากับยอมรับว่ามีการเลิอกตั้ง)
นอกจากการปิดกรุงเทพจะไม่บรรลุตามวัตถุประสงค์โดยสิ้นเชิง ยังทำให้เกิดความสูญเสียทั้งทางร่างกาย ทรัพย์สิน และเศรษฐกิจ ทั้งยังเติมเชื้อความขัดแย้งให้แกสังคม (จากทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน) ทั้งหมดคือความจริงที่ต้องยอมรับ
ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองถามตัวเองดูสิว่า เราได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน จากการ "ปิดกรุงเทพ" และแน่หรือที่เราพบทางออกที่แท้จริงของประเทศไทย จากนั้นค่อยๆ คิดหาคำตอบที่แท้จริง ที่ไม่ได้เอนเอียงใปตามความรู้สึก
นี่ไม่ต้องพูดถึงความรับผิดชอบที่ผู้ก่อกิจกรรมควรแสดงความรับผิดชอบในความล้มเหลวที่เกิดขึ้น เพราะไม่มีแน่นอน เนื่องจากแกนนำก็ประกาศชัดแล้วว่า ที่เลิกการปิดกรุงเทพนั้นเพราะประสบความสำเร็จแล้ว ?!?!
เราควรจำไว้อีกครั้งหนึ่งว่า การกระทำการด้วยการปิดล้อม นับตั้งแต่ พมธ.ปิดทำเนียบและสนามบิน จนถึง นปช.ปิดราชประสงค์ และล่าสุด กปปส.ปิดกรุงเทพ ก็ล้วนไม่เกิดประโยชน์ หรือทำให้บ้านเมืองเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้เลย
การชุมนุม หรือความต้องการปฏิรูปประเทศให้ดีขึ้นของ กปปส. หรือแม้แต่การต่อต้านเผด็จการของ นปช.ล้วนเป็นความคิดที่ดีต่อประเทศทั้งสิ้น (ถ้าไม่มีอะไรแอบแฝง) แต่ก็อย่าลืมว่าเรามีวิธีเรียกร้อง และปฏิรูปในอีกหลายช่องทาง โดยเฉพาะช่องทางที่เป็นไปตามกติกา ที่ผมเชื่อว่าแกนนำทุกท่านก็รู้อยู่แก่ใจ
จะยอมใหัใครคนใด หรือกลุ่มใด ปลุกระดมคนในบ้านให้ลุกขึ้นมาทำลายบ้านตัวเองอีกงั้นหรือ...
Subscribe to:
Posts (Atom)