
31 December 2009
บ้ายบายปีวัว สวัสดีปีเสือ

29 December 2009
อโหสิ ถ้าคิดได้
05 December 2009
03 December 2009
Bangkok Jazz Radio

บอกหลายครั้งแล้วว่า รสนิยมดีๆ มันซื้อหากันไม่ได้จริงๆ
01 December 2009
Omotesando Illumination 2009

เว็บไซต์ที่ผมเคยเขียนถึงเทศกาลนี้ http://veraphol.spaces.live.com/blog/cns!9F19219C7E9C3CC3!2898.entry
เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ http://www.kobe-luminarie.jp/
สำหรับผม งานหลัง ดูจะมีความพิเศษมากสำหรับผมที่เดียวครับ เห็นทุกครั้ง ก็ทั้งมีความสุข และเศร้าเคล้ากันไป ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ลืมภาพวันเก่า และเรื่องราวดีๆ ก็เหมือนกับแสงไฟของโกเบ อิลลูมิเนชั่น แต่ละดวงที่เปรียบเสมือนวิญญาณของผู้เสียชีวิตในแผ่นดินไหว และความทรงจำ ณ ที่แห่งนั้น
ที่จะคงอยู่ตลอดไป...
19 November 2009
ความรักของพ่อ
ไม่ได้อัพเดตมาหลายเพลา วันนี้อดใจไม่ได้เลยรีบรื้อค้นแล้วโพสต์ก่อนจะลืมและขี้เกียจโพสต์
หลายท่านคงเคยชมแล้วบนรถไฟฟ้าบีทีเอส ผมก็เคยชมหลายครั้ง แต่ก็ผ่านๆ ไป ไม่ได้ตั้งใจชม จนเมื่อครู่ระหว่างทางกลับบ้าน ก็ได้ฟังอย่างตั้งใจพอควร (แต่ไม่ได้ดู) กลับสะดุดหู และรู้สึกว่า จะเพราะกว่าเพลงที่แต่งเพื่อเทิดทูน 'พ่อ' และ 'พ่อหลวง' ที่เคยฟังมา ..จริงๆ หลายๆ เพลงที่ผ่านมาก็เพราะนะครับ แต่เพลงนี้เพราะจริงๆ
เพราะเนื้อความไม่ได้เทิดทูนเฉพาะพ่อหลวงของชาวไทย ทว่าคือ 'พ่อ' ของทุกๆ คนครับ
ชมและฟังแล้ว คงรัก 'พ่อ' กันมากขึ้น ไม่ทำตัวเป็นลูกมีปัญหาที่บอกว่ารักพ่อ แต่ก็ช่วยกันทำให้พ่อไม่สบายกายและใจเช่นทุกวันนี้ครับ ซ้ำร้าย ยังไม่เห็นมีใคร หรือลูกคนไหนหยุดที่จะอ้าง 'พ่อ' และคำพ่อ มาทะเลาะเบาะแว้งกัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม
เพลง 'ความรักของพ่อ' เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 'คนไทยหัวใจภักดี' http://www.khonthaihuajaipakdee.com/ โดยวง SmallRoom นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่จะจัดขึ้นในช่วงนี้ ไปจนถึงวันที่ 5 ธันวาคม ตามอ่านรายละเอียดกิจกรรมโครงการ และดาวน์โหลดเพลงความรักของพ่อได้ในเว็บไซด์ข้างต้น
เพลง ความรักของพ่อ
ศิลปิน SmallRoom
ตอนเล็ก ๆ เคยสงสัย ว่าทำไม พ่อยอมอดทนทุกอย่าง
ต้องเหนื่อยกว่าใครในบ้าน
เดินจูงมือ คอยสั่งสอน เป็นดวงดาวที่ส่องนำทางให้เรา
จะสุขจะทุกข์เคียงข้าง
* ยังจำครั้งหนึ่งเคยถาม ถ้อยคำที่ตอบ หนึ่งคำชัดเจนทุกอย่าง
นั่นคือคำว่ารัก
** เพราะว่ารัก จึงทำได้ทุกอย่าง ไม่คิดว่ามันลำบาก
แค่นี้ก็ยังไม่อาจเทียบเศษหนึ่งของพ่อหลวง
ที่ทรงห่วงชาวไทย เป็นหมื่นเป็นล้าน
แค่เพียงให้เรามีสุข นี่คือความรักของพ่อ
ทำให้รู้ ทำให้เห็น ถ้าลูกคิดจะเป็นผู้นำครอบครัว ทุกอย่างให้ดูท่านไว้
มีทุกข์ร้าย เรื่องรุมเร้า มรสุมกระหน่ำครอบครัวของเรา
ท่านยืนอยู่เป็นร่มเงา
(ซ้ำ *, **)
เพราะว่ารัก จึงทำได้ทุกอย่าง ไม่คิดว่ามันลำบาก
แค่นี้ก็ยังไม่อาจเทียบเศษหนึ่งของพ่อหลวง
ที่ทรงห่วงชาวไทย เป็นหมื่นเป็นล้าน
แค่เพียงให้เรามีสุข ยิ่งทำให้ลูกมีสุขแค่ไหน
ใจท่านก็เป็นสุข นี่คือความรักของพ่อ
29 October 2009
Life after BB

12 August 2009
สุขสันต์วันแม่
วันที่ผมเข้าผ่าตัด ยิ่งเห็นถึงความห่วงใยของแม่ เพราะวันนั้น แม่ที่เป็นความดันอยู่แล้ว วันนั้นความดันสูงขึ้นกว่าปกติมากจนเวียนหัว กว่าความดันจะลงสู่ระดับปกติ ก็คือวันที่ผมออกจากโรงพยาบาล คนที่รอผมตั้งแต่เริ่มเข้าห้องผ่าตัด รอจนกระทั่งผมออกมาจากห้องผ่าตัด ก็คือคุณแม่ คุณแม่เดินตามไปส่งผมเข้าห้องผ่าตัด ลูบหัวไปตลอดทาง ตอนนั้นผมไม่ค่อยรู้เรื่อง ภายหลังน้าสาวที่ตามมาด้วยกับแม่ เล่าว่าแม่ร้องไห้ไปตลอดทางที่ส่งผมเข้าห้องผ่าตัด ทั้งที่รู้ว่าผ่าตัดนี้ไม่ได้อันตรายเลย ที่จำได้ชัดคือตอนออกจากห้องผ่าตัด คนแรกที่เข้ามาหาผม เข้ามาลูบหัวผมก็คือคุณแม่ และเป็นอีกครั้งที่ได้จับมือคุณแม่ แม่พูดซ้ำไปมาว่าเพียงว่า "เป็นยังไงบ้าง เจ็บมั้ย" น้ำตาแม่ก็ไหลออกมา แม่ลูบหัว สัมผัสจากมือแม่ เหมือนได้กลับไปเป็นเด็ก ได้หวนระลึกถึงความรักของแม่ ที่มีต่อลูก ความรักแบบที่มีแต่การให้ และให้ตลอดไป อาจเป็นเรื่องธรรมดาในวันหนึ่ง แต่เป็นเวลาที่พิเศษสุดๆ สำหรับผม ที่ได้สัมผัสถึงความห่วงใยอันยิ่งใหญ่ของ แม่ อีกครั้ง
10 August 2009
ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 4 - จบ)

นิดหน่อยส่งดอกไม้มาเยี่ยม
คุณหมอ ณรงค์ แพทย์เจ้าของไข้ และ แพทย์ผู้ผ่าตัดบอกผมเมื่อวันที่ไปตัดไหม (8 สิงหาคม - เพราะหลังวันผ่าตัดไม่ได้เจอคุณหมอเลย แต่หลังผ่าตัด คุณหมอได้เจอคุณแม่และแจ้งให้ทราบแล้ว) ว่า "รู้ไหม เคสคุณทำเอาผมเกือบแย่!" ขนาดนั้นเลย?
"คือมันอักเสบมากแล้วน่ะ" คุณหมอบอก ...อันที่จริง บอกมากกว่านี้ แต่ขอไม่เล่ารายละเอียด เพราะเล่าแล้วคนเข้ามาอ่านคงรับไม่ได้ ผมฟังแล้วยัง หูผึ่ง ตาโพลง จริงหรอคุณหมอ!? บอกได้นิ่งในถุงน้ำดีของผมเป็นมานานแล้ว จนผนังถุงน้ำดีหนาขึ้นมาก บ่งบอกอาการอักเสบได้ระดับหนึ่ง นี่ผมทนมาได้นานขนาดนี้เลยหรอ อ่านเจอในบันทึกของตัวเองว่า คืนผ่าตัดเสร็จรู้สึกเจ็บตลอดที่แผลเจาะท้อง 4 รู โดยเฉพาะที่สะดือ 4 รูที่ว่า คือใต้สะดือ หน้าท้องขวา ลิ้นปี่ และชายโครงขวา เพราะผ่าตัดแบบใช้กล้องส่อง ตรงสะดือรูใหญ่กว่าใคร เพราะเป็นที่ต้อท่อสำหรับดึงเอาชิ้นเนื้อออกมา สามรูที่เหลือเอาไว้สอดเครื่องมือผ่าตัด ปวดหน่วงๆ และระคายที่สะบักขวา แต่ตรงที่ตัดเอาถุงน้ำดีออกข้างในร่างกลับไม่ค่อยรู้สึก
08 August 2009
ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 3)


ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 2)


07 August 2009
ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 1)

รูปคู่กะโค้กซีโร่ของนิดหน่อย ก่อนวันผ่าตัดสองวัน นัยว่าต้องจากน้ำอัดลม และอื่นๆ ไปอีกหลายเดือน
ความเดิมที่ไปแอดมิตในโรงพยาบาลที่เคยไปใช้บริการประจำ บัดนี้คงไม่ไปแล้วล่ะ เซ็ง ก็เปลี่ยนโรงพยาบาล เป็น โรงพยาบาลธนบุรี แถวพรานนก เนื่องจากคุณยายเคยรับการรักษากับคุณหมอ ณรงค์ เลิศอรรฆยมณี ที่เป็นคุณหมอจากศิริราช มารับรักษาเป็นเวลาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ผมไปพบคุณหมอเมื่อวันอังคารที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เริ่มจากโรงพยาบาลนี้ก่อนเลย ว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชน ที่ดูเผินๆ นึกว่าเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล เพราะคนไข้เยอะเหลือเกิน ยิ่งเทียบกับโรงพยาบาลเก่าที่ว่ามา โรงพยาบาลนี้ต้องเรียกว่าหนาแน่นมาก ได้พบคุณหมอตอนเย็น ก็ตามระเบียบ คุณหมอดูฟิล์มเอ็กซ์เรย์ ก็บอกตามที่เห็นว่าพบนิ่วในถุงน้ำดีจริง อันที่จริงหลายๆ คนก็มีนิ่วในถุงน้ำดี เพียงแต่ ถ้าไม่แสดงอาการอะไร ก็ปล่อยไว้เรื่อยๆ ก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน แต่ถ้ามีปัญหาอย่างที่ผมเป็นนี้ คือแสดงอาการต่างๆ เช่น ท้องอืด เฟ้อ ปวดบริเวณลิ้นปี่ (กระเพาะ) และมักมีอาการทันทีหลังทานอาหารมันๆ คลื่นไส้ ฯลฯ ก็ควรมาตรวจ เพราะบ่งบอกอาการของหลายโรค เช่นโรคกระเพาะ และถ้ารักษาเบื้องต้นไม่ได้ผล ก็ควรทำอัลตร้าซาวนด์ เพื่อเช็คถุงน้ำดี และช่องท้องส่วนบน หากไม่เจออะไรผิดปกติ ค่อยทำการส่องกล้องที่ช่องท้อง ตามลำดับ ในเคสของผม คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัดนำถุงน้ำดีออก ถามว่าทำไมไม่ผ่าเอานิ่วออกอย่างเดียวล่ะ ก็เพราะว่า ถ้ามันแสดงอาการแล้ว ก็หมายความว่าถุงน้ำดีมีปัญหาแล้วล่ะ ถึงจะผ่าเอาแค่นิ่วออกไป ก็จะเกิดอาการเช่นนี้ได้อีกต่อไป การตัดถุงน้ำดีออกไป จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากถุงน้ำดีเป็นตัวพักน้ำดีที่ผลิตจากตับเพื่อไปย่อยไขมันในลำไส้ คุณหมอบอกว่า ช่วงแรกๆ ที่เอาถุงน้ำดีออกไปแล้ว อาจจะมีอาการท้องอืดเวลาทานอาหารมัน หรือบางรายก็มีอาการท้องเสีย ซึ่งก็เป็นปกติ เพราะไม่มีที่พักน้ำดี แต่ต่อไปท่อน้ำดี ที่เป็นตัวลำเลียงน้ำดี จะขยายตัวขึ้นและทำหน้าที่แทนถุงน้ำดีได้เอง แต่อย่างไรก็ควรเพลาๆ การทานอาหารมัน ตกลงก็เลยต้องผ่าตัดอย่างที่คาดไว้แล้ว คุณหมอว่า ถ้าว่างเมื่อไหร่ ก็มาเอาออก ผมเลยบอกคุณหมอว่าขอกลับไปเคลียร์งานก่อนแล้วจะนัดวันผ่าตัดอีกที เสร็จจากการพบคุณหมอ ก็ไปสอบถามราคาที่ฝ่ายการเงิน เขาคิดคร่าวๆ ว่า แสนสาม!!! โอ้วว ทำไมมันแพงขนาดนี้ เดินออกมาบอกแม่ว่า ไม่ต้องผ่าละ ซื้อโรเล็กซ์ให้ดีกว่า เวลาปวดอีกก็เอานาฬิกามาลูบๆ บรรเทาปวดละกัน - 555 ล้อเล่นน่ะ ปวดขึ้นมาทีนี่รับไม่ได้เลยนะ คืนนั้นก็เลยคิดแต่เรื่องผ่าตัด เครียดๆๆๆ พอเครียดมาก เพราะเกิดมาไม่เคยผ่าตัด ก็เลยปวดท้องขึ้นมาอีก แทนที่จะได้นอนพักผ่อน ก็เลยไม่ได้นอนกันเลย เรียกว่าคืนนั้น 3 in 1 เลยล่ะ รุ่งขึ้นเข้าออฟฟิตก็เคลียร์งานโน่นนี่ หมดไปหนึ่งวัน วันพฤหัส ที่ออฟฟิตมีทำบุญออฟฟิต ขณะเดียวกัน ก็มาคิดว่า ถึงไม่ผ่าตัดอาทิตย์นี้ ก็ต้องเป็นอาทิตย์หน้าอยู่ดี แถมต้องทานแต่ข้าวต้ม โจ๊ก และยาไปเรื่อยๆ จนถึงอาทิตย์หน้า ไหนๆ ก็ไหนๆ อาหารวันทำบุญ เยอะแยะและน่าทานมากมาย เลยตัดสินใจว่า เสาร์นี้เลยละกัน และก็ได้ความว่า วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อจองห้อง เช็ค และเตรียมร่างกายตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง และให้งดน้ำงดอาหารตั้งแต่เที่ยงคืนวันศุกร์ต่อเช้าวันเสาร์เพื่อตรวจเลือดด้วย วันพฤหัสที่ว่านั้น อดใจไม่ไหว เลยแอบหม่ำลูกชิ้นปิ้ง และหมูสะเต๊ะ ไปหลายไม้ ผลก็คืออาการเจ็บถุงน้ำดีกำเริบไปจนถึงวันศุกร์ ตอนเย็นก็ซ้ำเติมร่างกายด้วยข้าวต้มมื้ออำลาจากนิดหน่อย ส่วนคืนวันศุกร์ก็เป็นมื้ออำลาจากน้องบิ๊ก และแล้ววันเสาร์ก็มาถึง...
ปล. ลองค้นในพจนานุกรมออนไลน์ เขามีศัพท์ 'การศัลยกรรมเอาถุงน้ำดีออก' เป็นภาษาอังกฤษว่า 'cholecystectomy'
23 July 2009
นิ่วในถุงน้ำดี กะโรงพยาบาลแย่ๆ
อาการคือปวดใต้ราวนมขวา ปวดมาก ปวดจนอยากอาเจียน อยู่นิ่งๆ ไม่ได้เลย (คนอื่นอาจไม่ได้ปวดแบบผม) คุณหมอที่ห้องฉุกเฉินรีบจับขึ้นเตียง หลังเห็นอาการแย่มากของผมหลังลงทะเบียนคนไข้ ขึ้นเตียงก็แทบจะอยู่ไม่สุก เพราะปวดมาก คุณหมอตรวจและสอบถามอาการ จากนั้นจึงตัดสินใจให้ฉีดยาแก้อาเจียน และยาลดกรด ฉีดเสร็จก็ไม่หาย ปวดท้องต่อไปเรื่อยๆ เดินพล่านอยู่ในห้องคนป่วย พยาบาลก็ตกอกตกใจ "ใจเย็นๆ ค่ะ อดทนสักยี่สิบนาทีนะคะ" พยาบาลบอก ก็พยายามใจเย็นแต่มันปวดมาก ไม่ใช่เหมือนปวดท้องกระเพาะหรือปวดท้องอาหารเป็นพิษ ก็ยังคงวิ่งพล่าน และพยายามอาเจียน แต่ก็ไม่ดีขึ้น สุดท้ายดิ้นไปมาครบเวลา อาการก็ไม่ดีเลย คุณหมอกลับมาดูอาการอีกครั้ง ถามว่าจะแอดมิตมั้ย ถ้าแอดมิตก็จะได้ตามดูอาการได้ ตอนเช้าจะได้พบหมอประจำ มิฉะนั้นก็จะให้ยาอีกตัวแรงขึ้น แล้วกลับ ตัดสินใจว่าจะพักที่โรงพยาบาลดีกว่า เพราะยังไม่มีวี่แววจะหายเลย ตอบตกลงไป เขาก็เอาน้ำเกลือมาเสียบหลังมือ แล้วให้ยาลดกรดเพิ่มอีกเข็ม เจ้าหน้าที่เข็นรถพาขึ้นชั้น 24 บนสุด ได้ห้อง 2408 ไปนอนในห้องก็ยังไม่หายปวด วิ่งไปมารอบห้อง คุณพ่อ คุณแม่ตามมา ดูเขาจะเจ็บกว่าเราเสียอีก สงสารพ่อแม่จับใจ แต่ตอนนี้ก็ทรมานจริงๆ เหมือนกัน ก็เลยดิ้นพราดๆๆๆๆๆ ที่สุดคุณหมอเวรก็เข้ามา เห็นอาการ ก็สั่งให้เอายาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของมอร์ฟิน และยาอีกขนาดมาให้รวมสองเข็ม ฉีดเข้าไปสักพัก อาการปวดก็ลดลง พร้อมอาการซึมลงเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนชาทั่วร่างเพราะฤทธิ์ผงชูรส แรงหมด จะหยิบโทรศัพท์มาดู sms ก็หมดแรง ลืมตาก็เบลอๆ นึกว่าจะคึกคักล่องลอยเสียอีก ว่าแล้วก็หลับไป เกือบแปดโมงเช้าคุณหมอประจำเข้ามา ขอไม่เอ่ยชื่อละกัน เพราะจะจำไว้จนวันตาย เข้ามาถึงก็ดูอาการ แล้วบอกว่า เอาล่ะคับ "เดี๋ยวให้ไปอัลตร้าซาวนด์นะ เพราะญาติขอให้ทำ" ว่าแล้วก็ออกไป แล้วเจ้าหน้าที่ก็มาพาลงไปอัลตร้าซาวด์ ระหว่างอัลตร้าซาวด์ เขาก็ให้พลิกไปมา ส่องโน่นนี่ ก็ถามว่าพบอะไรมั้ยครับ เข้าหน้าที่การแพทย์ก็ตอบกลับมาว่า "พบนิ่วสองสามก้อนในถุงน้ำดีครับ" เห้อ...อยากจะเป็นลม สิ่งที่ไม่อยากให้เป็นดันเป็นอย่างที่คาด ยังไงล่ะ ต้องผ่าตัดมั้ย ต้องอะไรยังไง เมื่อไหร่ เจ้าหน้าที่บอกว่าคงต้องให้คุณหมอแนะนำ น่านสิ เขาไม่ใช่แพทย์นี่นะ
ขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง พยาบาลนำอาหารเช้ามาให้ ก็ถามพยาบาลว่าคุณหมอจะมาเมื่อไหร่ เขาว่า "ตอนบ่ายๆ ค่ะ เพราะหมอมีคนไข้เยอะ" ก็ตามนั้น รอจนเกือบเที่ยง พยาบาลก็นำอาหารกลางวันมาให้ แม่ก็ถามอีก คุณหมอจะมาหรือยัง คำตอบก็ยังคงเป็นบ่ายๆ จนกระทั่งบ่ายโมงกว่า พยาบาลมาเก็บอาหาร แม่ก็ถามอีกว่า แล้วหมอจะมากี่โมง เขาก็บอกอีกเหมือนเดิม บ่ายๆ ค่ะ จนพล่อยหลับไปหนึ่งตื่น ตื่นขึ้นมาราวสี่โมงเย็น ก็เอ๊ะยังไง มีแต่คนโทรมาถามว่าเป็นอะไรยังไงบ้า ก็ตอบไม่ได้ รู้แค่ว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แล้วต้องทำไงอีก ก็ไม่รู้ ไม่ได้เจอหมอตั้งแต่ตอนเจ็ดโมงเช้า ไม่ได้ละ โทรไปถามพยาบาลอีกรอบด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่าตกลงคุณหมอจะมากี่โมงครับ นี่สี่โมงเย็นแล้ว ว่าแล้วคุณพยาบาลก็ไปตามให้ วางสายไปสักพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พยาบาลอยู่ในสายแจ้งว่า ขอให้คุยกับคุณหมอนะคะ ว่าแล้วก็โอนสายให้คุณหมอ "เดี๋ยวเรามาพบกันพรุ่งนี้นะครับ" เอ๊ะยังไง? แล้วให้รอทำไมทั้งวัน "แล้วผมจะต้องทำไงครับคุณหมอ นอนโรงพยาบาลรอคุณหมอตอนเช้าหรอครับ" ผมถาม แล้วคุณหมอก็ตอบว่า "ครับ ก็เป็นอย่างนั้น ผมยังไม่ได้ดูฟิลม์อัลตร้าซาวด์เลย ไว้มาดูพรุ่งนี้กัน" "อ้าว แล้วทำไมไม่บอกละครับ นี่ผมอยู่รอหมอมาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ และตอนนี้ผมก็ไม่มีอาการแล้ว จู่ๆ หมอก็มาบอกว่าให้เจอกันพรุ่งนี้ ยังไงล่ะ ผมต้องรอไปเปล่าๆ ฟรีๆ ทั้งวันหรอคับ แล้วถ้าผมกลับบ้านละ เจอกันวันพรุ่งนี้ดีมั้ย เพราะบ้านก็ไม่ไกล" ผมตอบไปอย่างมีอารมณ์พอประมาณ คุณหมอก็บอกว่า งั้นเดี๋ยวผมขอคุยกับพยาบาล สักพักคุณพยาบาลก็เข้ามา (ซวยละ) แล้วก็บอกว่า คงเป็นการสื่อสารกันผิดพลาดของพยาบาลรอบเช้าค่ะ เพราะเห็นว่าตอนบ่ายหมอมีส่องกล้อง แล้วคงลืม ผมก็ว่าแล้วงัยล่ะ ให้ผมรอกี่ชั่วโมงแล้วต้องมารอต่อไปถึงพรุ่งนี้โดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร คุณไม่คิดค่าห้องผมหรือเปล่าล่ะ พยาบาลก็ตอบเลี่้ยงๆ ใจเย็นๆ ว่า ก็ต้องโทษนะคะ แต่พยาบาลคิดว่าคุณหมอคงอยากให้ดูอาการอีกคืน ถ้าไม่มีอะไรก็พรุ่งนี้ก็มาดูอาการกัน ผมก็บอกว่า แต่คุณหมอไม่ได้บอกผมเลย หมอหายไปเลย ปกติคนไข้ก็ต้องหวังที่จะฟังอะไรจากหมอ แต่นี่เหมือนโดนทิ้งให้นอนรออยู่ในห้องเปล่าๆ ทั้งวัน ไม่เอาดีกว่า ขอกลับละครับ ...อันที่จริงก็มีบ่น (ด่า) โน่นนี่อีกพอประมาณ แต่เล่าไม่ไหวละ ยาวเกิน สรุปพยาบาลก็จะไปถามหมอให้ว่าต้องทำอะไรยังไง ครู่ใหญ่ก็กลับมาพร้อมบอกว่า ตกลงงั้นเดี๋ยวคิดค่าบริการนะคะ แล้วก็ให้ยามา แล้วก็ฟิลม์อัลตร้าซาวด์ พร้อมผลเลือด จากนั้นก็ลงไปจ่ายเงิน พร้อมกับคอมเพลนอีกรอบหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จากนั้นก็กลับ ด้วยราคาค่าห้องค่ายาค่าหมอ รวมประมาณ 10,376 บาท (ลดเฉพาะค่าห้องและค่ายา 5% จากบัตรเครดิต และ 5% ที่จำใจลดให้ - เพราะต้องทวง ว่าไม่คิดจะแสดงความรับผิดชอบอะไรบ้างหรอ!) แต่ที่เจ็บใจที่สุดคือค่าหมอ ห้องฉุกเฉิน และหมอเวร คนละ 300 และ 400 บาท แต่หมอประจำตอนเช้าที่คุยกะเราสองประโยค แล้วหายไป คือ 600 บาท!! ตอนนี้ก็เลยต้องหาโรงพยาบาลใหม่ เพราะเสียความรู้สึกกับการไม่ใส่ใจคนไข้ ทั้งที่เป็นโรงพยาบาลที่ผมไปใช้บริการมาโดยตลอด เสียชื่อนักบุญคนยากหมดเลย
15 July 2009
เกร็ด หวัด ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดใหญ่ 2009
พบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยโรค ก็ตามที่คาดไว้คือสันนิษฐานว่าเป็นหวัด ไม่ได้เป็นไข้หวัดใหญ่ (flu / influenza) ที่ต้องกระแดะพิมพ์อังกฤษ เพราะหลายคนมักจะเข้าใจรวมกันว่า หวัดก็ต้องเป็นไข้หวัด ยิ่งตอนนี้ก็ยิ่งต้องคิดว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่หรือเปล่า เพราะอาการหวัด กะไข้หวัดใหญ่ก็คล้ายกัน
ตรวจอาการเสร็จ คุณหมอก็ถามว่า "มีอะไรอยากถามมั้ยคะ" เดาว่า คนคงสงสัยเรื่องไข้หวัดใหญ่ 2009 กันเยอะ เพราะตอนวินิจฉัยอาการ หมอก็เทียบเคียงกับอาการของไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยตลอด ก็เป็นโอกาสดี ที่จะได้ความรู้มาเล่าให้ฟังกัน ดังนี้
คุณหมอแนะนำว่า อาการเริ่มต้นอย่างการเป็นหวัด คือแค่เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก มีเสมหะ แบบที่ผมเป็น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเป็นไข้หวัดใหญ่ แนะนำให้รอดูอาการไปอีก 2-3 วัน จนถึงหนึ่งอาทิตย์ หากไม่มีไข้ขึ้นสูงมาก (คือมากกว่า 38 องศาเซลเซียส) ปวดเมื่อยเนื้อตัวจนแทบจะลุกไปไหนไม่ได้ และไข้ไม่ลด ก็ต้องรีบมาพบแพทย์โดยด่วน ***ควรมีปรอทวัดไข้ติดบ้านกันนะ***
ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมหากเพื่อนๆ ในที่ทำงานหรือโรงเรียน ป่วยเป็นแค่หวัด คือเจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก จึงควรคาดผ้าปิดปาก หรือที่ให้ถูกต้อง ควรพักอยู่กับบ้าน ดูอาการ เพราะมีสิทธิเป็นไข้หวัดใหญ่ตามมาได้
เพิ่มเติม: ในคนไข้ ที่เป็นไข้หวัดใหญ่โดยปกติ จะมีอาการควบคู่กันไป คือเจ็บคอ มีน้ำมูก และเป็นไข้ แต่ในบางกรณี อาจไม่มีไข้ในระยะแรกก็ได้
ไม่ควรทานยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อไวรัสเอง หรือยาลดไข้แบบแรงๆ (ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าเป็นไข้หวัดใหญ่) เพราะจะทำให้การวินิจฉัยโรคยาก ในเบื้องต้นควรรักษาตามอาการ เช่นถ้าเป็นหวัดมีไข้ก็ทานยาลดไข้ (แนะนำ พาราเซตามอล 2 เม็ด ในผู้ใหญ่ 1 เม็ดในเด็ก ...ตามที่ผมทราบมา: ไม่ใช่เป็นไข้นิดเดียวขอกินเม็ดเดียว หรือครึ่งเม็ดพอ เพราะต้องรับปริมาณยาตามน้ำหนัก)
ไข้หวัดใหญ่ 2009 ต่างจากไข้หวัดใหญ่ปกติ ตรงที่ไข้หวัดใหญ่ 2009 ติดต่อกันได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 จึงเป็นที่วิตกกันทั่วโลก ทว่าอาการของการเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 และการรักษาก็ไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่ปกติ
เป็นแค่หวัด ก็มีโอกาสอ่อนเพลีย เมื่อยเนื้อตัว และมีไข้ได้เหมือนกันนะ ...รักษาตามอาการจ้ะ อย่าวิตกจริต
คุณหมอเล่าว่า อาทิตย์นี้ คนไข้วิตกกันน้อยลงกว่าอาทิตย์ที่ผ่านมา อีกทั้งการตรวจพบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ของคนไข้ที่มารักษามีน้อยกว่าอาทิตย์ที่แล้ว ถึงขนาดที่คุณหมอบอกว่า อาทิตย์ที่ผ่านมา เอาน้ำมูกคนไข้ไปตรวจแทบทุกรายจะเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่จะเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือเปล่าคุณหมอบอกว่าไม่ทราบ เนื่องจากต้องตรวจเป็นกรณีๆ ไป เพราะค่าตรวจแพงจริง
และอาทิตย์ที่แล้ว คนไข้ที่มาโรงพยาบาล คาดหน้ากากกันมากกว่าอาทิตย์นี้เสียอีก
ตอนไปหาหมอเมื่อเช้า พยาบาล จะซักอาการละเอียดกว่าปกติ เช่น มีไข้มั้ย เจ็บคอ น้ำมูกไหล ฯลฯ และนอกจากชั่งน้ำหนัก และตรวจความดันปกติ ก็จะให้ปรอทวัดไข้ด้วย เป็นต้น
สำหรับวิธีป้องกันการติดเชื้อเบื้องต้น และข้อมูลไข้หวัดใหญ่ 2009 ผมเคยคิดลอกจากเอกสารเผยแพร่ที่ไปได้มาจากฮ่องกงแล้วครั้งหนึ่ง ย้อนกลับไปอ่านได้ที่ http://kokoichi.blogspot.com/2009/05/human-swine-influenza.html และวิดีทัศน์เรื่องไข้หวัด 2009 http://kokoichi.blogspot.com/2009/06/blog-post.html
07 July 2009
Sunday Morning at BangRak
ถึงสถานีสะพานตากสิน แม่ค้าแม่ขาย กำลังกุลีกุจอตระเตรียมร้านรวง เหมือนจะรีบ แต่ก็ดูไม่ซีเรียส บางก็นั่งพัก ทอดสายตาอย่างอารมณ์ดี ก็เลยไปซื้อขาเย็นกับแม่ค้าติดบันไดรถไฟฟ้าเป็นประเดิม
ถ้าเป็นวันปกติ เวลา 7.33 น. เหมือนเช่นภาพบน ก็คงคึกคักน่าดู เพราะอย่างที่รู้ บางรักก็เป็นหนึ่งในย่านค้าขายที่จอแจวุ่นวาย ถนนก็แคบ ทางเท้าก็เล็ก มีทั้งตลาด มีทั้งป้ายรถเมล์ มีทั้งท่าเรือ น่าเวียนหัวดี ปกติผมก็ชอบอะไรที่จอแจ (บ้าง) แต่ไม่วุ่นวาย เหมือนเวลาเดินห้างแล้วคนเยอะเป็นหนอน แถมมีเสียงอะไรต่อมิอะไร อย่าง เสียงเพลงเสียงโทรโข่งแต่ละร้าน เสียงคน เสียงจากลำโพงในห้าง แบบนี้สิวุ่นวายอย่างที่ทำให้อารมณ์เสีย แต่อย่างวุ่นวายแบบตลาด กลับรู้สึกชอบ เช้านี้ร้านรวงยังปิด และปิดเกือบหมดทุกร้านในย่านนี้ ก็เลยรู้สึกแปลกๆ เพราะอย่างที่บอก แทบไม่เคยเห็นเลย
ถนนก็โล่ง สบายใจ...
เฮ้อ มาเช้าไปหรือนี่! ได้เราก็นึกว่าเวลานี้เวลาเด็ด อาจจะเป็นคิวแรก ที่ไหนได้ เป็นคิวที่ศูนย์ คืออดแดก - พี่พลอย จริยะเวช ส่งข้อความมาในเฟสบุ๊ค ว่าอยากทานบ้าง ก็เลยตอบไปว่ามาเช้าเกินไม่มีอะไรขาย พี่ท่านก็ตอบกลับมาว่า งั้นอย่าลืมขนมที่ร้านปั้นลี่ ก็บอกท่านพี่กลับไปว่า ไม่มีอะไรขายน่ะ ไม่ใช่แค่กระเพาะปลา แต่ไม่มีอะไรใดๆ รวมทั้งปั้นลี่ร้านโปรด ที่แต่ก่อนใครผ่านมาแถวนี้ก็มักแวะซื้อคุ๊กกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์มาฝาก (แต่หลังๆ นี้ผมว่ามันไม่ค่อยอร่อย ชิ้นเล็กลง และเม็ดมะม่วงก็น้อยลง ซึ่งก็ผ่านมาหลายปีละ ไม่รู้เดี๋ยวนี้จะเป็นยังไง) แต่ก็ไม่ไร้ซึ่งอะไรใดๆ ติดมือกลับบ้าน เพราะยังเหลือโจ๊กบางรัก หรือโจ๊ก (โรงหนัง) ปริ๊นซ์ ขายมาตั้งแต่เช้า ผมไม่ค่อยรู้จักโจ๊กร้านนี้หรอก เพราะพ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบโจ๊กใสๆ ชอบโจ๊กข้นๆ แบบโจ๊กตลาดน้อย หรือโจ๊กพาหุรัด แต่ที่นี่แม้โจ๊กจะใส แต่เขาดังเรื่องหมูสับก้อนชิ้นใหญ่ยักษ์ ที่เอามาหันแบ่งย่อยๆ ได้ 4-5 ชิ้นขนาดปกติที่ร้านโจ๊กอื่นๆ ขายกัน มองดูออฟชั่นจากทางร้าน ผมว่าใส่ตับก็เข้าท่า เพราะดูน่าทานดี แต่บังเอิญผมไม่ทานตับ ก็ผ่านไป
26 June 2009
Gone Too Soon, Michael Jackson

Like A Comet
Blazing 'Cross The Evening Sky
Gone Too Soon
Like A Rainbow
Fading In The Twinkling Of An Eye
Gone Too Soon
Shiny And Sparkly
And Splendidly Bright
Here One Day
Gone One Night
Like The Loss Of Sunlight
On A Cloudy Afternoon
Gone Too Soon
Like A Castle
Built Upon A Sandy Beach
Gone Too Soon
Like A Perfect Flower
That Is Just Beyond Your Reach
Gone Too Soon
Born To Amuse, To Inspire, To Delight
Here One Day
Gone One Night
Like A Sunset
Dying With The Rising Of The Moon
Gone Too Soon
Gone Too Soon
Rest In Peace
Michael Jackson
'King of Pop'
(1958-2009)
20 June 2009
เลี่ยงอาหาร 7 อย่าง ยามท้องว่าง
หากใครเคยหิวจนมือไม้สั่น ไม่มีแรงพอที่จะออกไปซื้ออาหารมารับประทานเหมือนทุกครั้ง และหาอาหารอะไรก็ได้ใส่ท้องเพียงแค่ประทังชีวิต โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงสุขภาพเท่าที่ควรนั้น ในวันนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวังและเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกินมากขึ้นแล้วเพราะอาหารบางประเภทไม่เหมาะที่จะรับประทานในช่วงท้องว่างๆ ส่วนมีอะไรบ้างนั้น ลองมาดูกันเลยค่ะ
1. นมและถั่วเหลือง เมนูยอดนิยมสำหรับใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสะดวกในการรับประทานหรือประหยัดเวลา นมมักเป็นคำตอบแรกเวลาหิว แต่แม้จะอุดมด้วยโปรตีนและเชื่อว่าการดื่มนมเยอะๆจะมีประโยชน์นั้น แทที่จริงแล้วการดื่มนมและถั่วหลืองเช่นน้ำเต้าหู้จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่ ดังนั้นการเลือกรับประทานนมตอนท้องว่าง จะทำให้ท้องอืดได้
2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน การที่คนเราเสียพลังงานไปเยอะนั้น จริงอยู่ว่าร่างกายต้องได้รับการเสริมสร้างจากเกลือแร่และน้ำตาลเมื่อเรารู้สึกอ่อนเพลีย แต่ทว่าหากท้องว่างแล้วนั้น การเลือกดื่มน้ำหวาน หรือของหวานเช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ซึ่งส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตได้
3. ผัก บางคนอาจคิดว่าการทานผักเยอะๆแทนข้าว โดยเฉพาะนที่ต้องการลดควมอ้วนนั้น เป็นความคิดที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนแล้ว การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด
4. กล้วย คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่า การทานกล้วยเยอะๆจะทำให้ระบบขับถ่ายดี แต่มักลืมกันไปว่าหากทานกล้วยในช่วงเวลาตอนท้องว่างแล้ว นอกจากจะทำให้ท้องอืด ยังจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมซึ่งเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ อันเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก
5. ชาแก่ ตื่นเช้าแล้วจิบน้ำชาสักแก้ว ดูแล้วเข้าท่าและน่าจะดี แต่หารู้ไม่ว่าการจิบชาร้อนโดยเฉพาะชาแก่ช่วงท้องว่างนั้นจะทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง
6. ลูกพลับ เป็นอีกหนึ่งชนิดต้องห้ามยามท้องว่าง เพราลูกพลับจะเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
7. เหล้า กระเทียม เป็นสิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรรับประทานในขณะท้องว่าง เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะมีส่วนเพิ่งแรงกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
อย่างไรก็ตาม ขณะท้องว่างนั้น เราไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำมากและเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา เราควรดื่มน้ำอุ่นๆสัก1-2แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ อีกทั้งยังช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นอีกด้วย
ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
heyhapartyและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส.)
18 June 2009
another ต้มยำ

ขั้นจังหวะคัพนู้ดเดิ้ลนอก ด้วยหมี่ถ้วยที่ไปเจอะเจอใน 7-11 แถวบ้าน อดใจไม่ไหวก็เลยซื้อมาลองดูสิ Ichiban Ramen Tomyam Chashu จากนิชชิน คัพนู้ดเดิ้ลเจ้าเก่า เขาบอกว่าเป็นเส้นบะหมี่ไข่แบบญี่ปุ่น เห็นว่าแปลกดี เพราะบะหมี่คัพนู้ดเดิ้ลจริงๆ มันก็มาจากญี่ปุ่นนินา ก็เลยอยากจะขอลอง
จริงๆ เขามีรสอื่นให้เลือกอีกสองรส แต่เลือกรสนี้ เพราะอยากกินอะไรแซ่บๆ ไว้คราวหน้า ไม่ลืมจะเอามาให้ยลอีก (ถ้าไม่รีบไปซื้อหามาหม่ำเสียก่อนนะ)

12 June 2009
29 May 2009
ไอ้หน้าโง่!
ขับร้อง: เบล สุพล
อัลบั้ม: Sleepless Society 3
ที่ทุกคืนเป็นเช่นนี้ ต้องมานอนก่ายหน้าผาก
เกิดจากอะไรนะหรือ รู้ดีอยู่แก่ใจ
ทั้งๆที่จบไปนานแล้ว เลิกไปนานแล้วยังไม่ห้ามใจ
ยังคิดถึงเธอ คิดให้ปวดใจ
ไม่มีใครทำร้าย ให้ใจสลาย ทุกอย่างเกิดเพราะฉันเอง
ไม่มีใครข่มเหง ให้เจ็บให้เป็นอย่างนี้
เพราะฉันมันโง่เอง..ที่ยังรักเธอ
โง่เอง..ที่ยังฝังใจ
ไม่เคยทำใจ ไปจำอะไรที่ควรจะลืม
เพราะฉันลืมยากเอง..
จะไปโทษใคร ยากเอง..ที่จะรักใคร
เลยต้องเดียวดาย หลับตาไม่ลงอย่างนี้
เพราะเป็นคนแบบนี้ นิสัยไม่ดีแบบนี้ ถึงรักใครไม่ได้เลย
ทั้งที่ตัวเองก็รู้ ไม่มีทางจะเริ่มใหม่
อย่ามัวไปคอยอะไร ที่เลือนลางอย่างนี้
เลิกบ้าเลิกอยู่กับความหลัง หยุดเถอะพอแล้วใจ พอสักที
อย่าไปรักเธอ รักให้เหนื่อยหัวใจ
ไม่มีใครทำร้าย ให้ใจสลาย ทุกอย่างเกิดเพราะฉันเอง
ไม่มีใครข่มเหง ให้เจ็บให้เป็นอย่างนี้
เพราะฉันมันโง่เอง..ที่ยังรักเธอ
โง่เอง..ที่ยังฝังใจ
ไม่เคยทำใจ ไปจำอะไรที่ควรจะลืม
เพราะฉันลืมยากเอง..
จะไปโทษใคร ยากเอง..ที่จะรักใคร
เลยต้องเดียวดาย หลับตาไม่ลงอย่างนี้
เพราะเป็นคนแบบนี้ นิสัยไม่ดีแบบนี้ ถึงรักใครไม่ได้เลย
---------------------------------------------
แว่วได้ยินเพลงนี้มานานมากละ ชอบทุกครั้งที่ได้ยิน แต่ก็ไม่ได้สนใจค้นหา
วันนี้นึกขึ้นได้เอง เลยลองหาเพลงนี้ ก็เพิ่งรู้ว่าอยู่ใน iTunes มานานนมเช่นกัน
ที่สำคัญเพิ่งหาเนื้อร้องมาอ่าน....โหยยยย!
ฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่า!!
ไอ้หน้าโง่ !!! T_T
27 May 2009
white crape และข้าวผัดรสเด็ด

มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากมายเหลือเกิน กับความอร่อยของร้านอาหาร บนชั้น 1 อาคารมณียาเซ็นเตอร์ เพลินจิต กรุงเทพฯ
ร้านนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออฟฟิตที่ผมทำงานอยู่ และเป็นร้านเจ้าประจำของคนที่ออฟฟิต และอีกหลายๆ คนที่ทำงานอยู่ในตึกนั้น แต่ความไม่ธรรมดา มาจากกระแสปากต่อปาก ร่ำลือกันจากเพื่อนฝูงของคนในออฟฟิต ลุกลามไปเป็นไฟท่วมทุ่ง ถึงความเด็ดของ 'ข้าวผัดปลาทู'
White Crape เริ่มแรกก็ขายเครป ชา กาแฟ และน้ำผลไม้ปั่น ตั้งอยู่ติดกับบันไดเลื่อนโบราณของอาคารมณียา แต่ขายแค่เครปนี้ดูท่าจะเงียบเหงาไปหน่อย ก็เลยเพิ่มเมนูอาหารกลางวันแบบง่ายๆ นิดๆ หน่อยๆ แต่บงเอิญว่าเด็ด ก็เลยเพิ่มเมนูอาหาร และขยายเวลาจำหน่ายอาหารไปจนถึงเย็น

อาหารมีทั้งแบบที่เป็นเมนูประจำ และแบบที่เป็นเมนูหมุนเวียนให้ตื่นเต้นเล่น เมื่อก่อนมีเส้นหมี่หมูย่าง ก็อร่อยใช้ได้ ตอนหลัง อยากสั่งอะไรก็มีให้แทบจะกลายเป็นอาหารตามสั่ง เอาเป็นว่าเท่าที่จำเมนูได้ ก็เป็นเมนูที่เหล่าเพื่อนฝูงทานเมื่อกลางวัน สุกี้แห้ง สปาเก็ตตีครีมซอส ข้าวต้มหมูสับ ยำอะไรสักอย่าง และเมนูของภาพบน 'ข้าวผ้ดพริกเผากุ้ง' (มีหมูด้วย) รสชาติออกหวานอมเผ็ดจากน้ำพริกเผา กลมกล่อมได้ที่ เคล้ากับแครอทหันแบบลูกเต๋า และคะน้าฝอย ก็ใช้ได้ แต่ถ้าหวังว่าจะเผ็ดนำ ก็เสียใจด้วย

26 May 2009
โมโหมาก
เคยมั้ยครับที่ถูกเอาเปรียบแบบแย่ๆ ปกติไม่ค่อยจะเป็นคนโวยวายอะไรคนอื่นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่คราวนี้ เดินไปแหกกลางร้าน เพราะอะไรหรอครับ จะเล่าให้ฟัง
เมื่อวานกลางวัน ไปทานข้าวกับน้องที่สนิทสนมกัน เพราะเขาเอาของเล่นมาฝาก เลือกทานข้าวกลางวันที่ ฟู้ดลอฟต์ เซ็นทรัล ชิดลม ปกติก็จะทานเฝอเนื้อเป็นเมนูประจำ แต่วันนี้ อยากทานอย่างอื่นบ้าง ก็ด้อมๆ มองๆ เห็น เส้นหมี่ผัดเป็ดย่าง ของร้านอาหารจีนที่เขาทำโชว์ไว้ดูน่าทานดี ราคาจานละ 120 บาท ก็เลยสั่ง "อีก 7 นาทีให้พนักงานมารับได้ครับ" พนักงานร้านอาหารผู้รับออเดอร์บอกผม แต่ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเดินวนไปมา เผื่อมีอะไรน่ากินอีก ระหว่างนั้นก็มีคนแวะเวียนมาแล้วก็สั่งเมนูเดียวกับผม ประมาณ 2-3 คน จากนั้นผมก็ไปนั่งประจำที่
ให้บัตรรับอาหารแก่พนักงาน เพื่อไปรับเส้นหมี่ผัดเป็ดย่างที่สั่งไว้ สักครู่พนักงานเดินกลับมาพร้อมจานอาหาร เห็นหน้าค่าตาก็ดูงงๆ เพราะไหงมีแต่เส้นเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่คิดมาก เพราะของจริงกับของที่เขาทำเป็นตัวอย่างมักไม่เหมือนกัน
ผมมีนิสัยเหมือนเด็กๆ คือชอบทานเส้นก่อนทานเครื่อง ยิ่งเห็นเส้นเยอะแยะก็เลยขอจัดการเส้นไปบางให้ปริมาณเส้นกับเนื้อเป็ดมันดูสมดุลกันบ้าง สักพักก็รู้สึกเอ๊ะใจกับอะไรบางอย่าง เพราะเส้นหมี่เริ่มพร่อง
ได้เห็นโฉมของเครื่องที่เขาใส่มาให้ในจาน เส้นหมี่ผัดเป็ดย่าง แทบช้อก พร้อมสะกิดน้องให้มาดูในความ 'มักง่าย' เพราะในจานนั้น มีเส้นหมี่กองโต เห็ดหอมหั่นเป็นเส้นๆ จำนวนหนึ่ง ประมาณ 5-7 ชิ้น ความหนาประมาณชิ้นละ 5 มิลลิเมตร ความยาวก็เท่ากับเห็ดหอมขนาดปกติ แต่ไอ้จุดขายของอาหารจานนี้น่ะสิ เป็นย่างเป็นเส้น ความหนาราวชิ้นละ 5 มิลลิเมตร ความยาวประมาณ 3 เซ็นติเมตร จำนวน 3 ชิ้น!!!!!
ไม่ได้อ่านผิดครับ 3 ชิ้นเท่านั้น! ลืมบอกไปว่าผมเป็นคนที่จะค่อยๆ โมโห ไม่ใช่แหกปากทันทีทันใด ตอนนั้นรู้สึกว่า ทานมาครึ่งจานแล้ว คงไปเรียกร้องขอคืนคงไม่ดี ก็จำใจทานไป แต่ในใจก็เริ่มคิดว่า ทำไมผมต้องโดนเอาเปรียบขนาดนี้ แล้วจะไม่ทำอะไรบ้างเลยหรอ ทานหมดจานก็พอดีความโมโหก็ถึงขีดสุดพอดี (แย่เนอะ) เลยขอเดินไปบอกให้เขารู้ ไปถึงร้าน ก็ไปถามพนักงานรับออเดอร์ร้านอาหารจีน ถามเขาว่า เส้นหมี่ผัดเป็ดย่างนี่ ทำรวมกันหลายๆ ออเดอร์ในครั้งเดียวหรือไม่ เพราะเมื่อครู่ หลังจากที่ผมออร์เดอร์ไป ก็มีคนออเดอร์ตามอีกสองสามราย พนักงานคนนั้นตอบว่า (ไม่รู้เพราะตกใจหรือเปล่า ที่จู่ๆ มีใครโพล่งคำถามนี้ แต่คำตอบเด็ดกว่า) "ไม่นะครับ"
เท่านั้นแหละ สติก็หลุดผึง บอกไปว่า ถ้าไม่ทำรวมกันทีเดียว แล้วเส้นหมี่ที่ผมสั่งไป มีเป็ดย่างแค่ 3 ชิ้นเท่านั้นหรือ พนักงานก็ทำเสียงงงๆ ถามผมว่า "เป็ดเส้นน่ะหรอครับ"... "ก็ใช่น่ะสิ จานนึงมีแค่สามชิ้นหรืองัย" ผมตอบเสียงดัง "ถ้าเช่นนั้นผมทำให้ใหม่ครับ" พนักงานบอก "ไม่ต้อง เพราะผมสังเกตเห็นตอนทานไปบ้างแล้ว" ผมตอบ "ถ้างั้นผมไม่คิดเงินจานนี้ละกันครับ" พนักงานแก้ปัญหาให้ผม "ไม่ต้องครับ ผมจ่ายให้ได้ แต่จะบอกให้ร้านคุณทราบว่า คุณขายของอย่างนี้ได้ไม่ได้ อาหารจานนี้ราคาจานละ 120 บาทนะครับ ไม่ใช่จานละ 10 -20 บาท หวังว่าคงไม่มีอะไรแบบนี้อีก" แหกปากเสร็จ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าคนมองกันเต็มเลย (หุหุ) - ไม่แคร์! เสียดายที่คราวนี้ลืมถ่ายรูปเส้นหมี่จากนั้นมาให้ชม เพราะมัวแต่โมโห แต่ที่เอามาเล่าให้ทราบนี้ ไม่ได้ให้ไปแอนตี้ฟู้ด ลอฟต์ นะครับ (จริงๆ ร้านอาหารจีนร้านนี้ขายแพงมาตลอดอยู่ละ) แค่อยากให้คุณผู้อ่านได้ทราบไว้ และต้องคอยสังเกตดูว่าร้านอาหารร้านนี้จะยังทำแบบที่ทำกับผมอีกหรือเปล่า เพราะผมว่าผมแหกปากเสียงดังไปแล้ว ถ้าเขายังไม่ปรับปรุงอะไรเลย แถมยังดื้อจะทำอาหารแบบมักง่าย ผัดหมี่แบบเหมาเข่ง ที่ทำออกมาได้หลายจาน แต่ราคาจานละ 120 บาท มันเหมือนผัดหมี่ร้านอาหารข้างทาง ทั้งที่ฟู้ดลอฟต์ เขาได้ชื่อว่าเป็นฟู้ดคอร์ตฉบับสุดหรู แต่ถ้ายังมีร้านอาหารที่ทำอาหารให้ลูกค้าทานแบบนี้ หรือยังทำอะไรมักง่ายแบบนี้ต่อไป ก็ขอความกรุณาทางห้างเซ็นทรัล ช่วยย้ายร้านอาหารจีนร้านนี้ออกไปขายข้างถนนจะดีกว่า อย่าให้ลูกค้าเขาเสียความรู้สึกไปกับทั้งฟู้ด ลอฟต์ ปลาตายตัวเดียวแต่เหม็นไปทั้งคอก
บอกได้คำเดียวว่า 'อุบาทว์!'
25 May 2009
อาหารบนเครื่องบิน


ยัมมี่!!
23 May 2009
ไข้หวัดหมูในมนุษย์ (Human Swine Influenza)

เก็บตกจากทริปฮ่องกง ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอเอกสารนี้ ร่วมกับอีกหลายๆ ภาษา ฯ ที่สาธารณะกลางใจฮ่องกง แสดงให้เห็นว่าทางรัฐบาลฮ่องกงเอาจริงเอาจังกับโรคร้ายนี้ คงเพราะครั้งหนึ่งฮ่องกง เผชิญกับโรคซาร์ส และไข้หวัดนก จนทั้งเมืองแทบจะร้าง คราวนี้ก็ขอให้ไม่พลาดซ้ำสอง สาม สี่ ...
ที่ฮ่องกงพบเห็นคนสวมหน้ากากได้ทั่วไป อาจะไม่มาก แต่ก็เจอเรื่อยๆ ยิ่งสนามบิน และบนเครื่องบินก็สวมกันทั่วหน้า จนวิตกไปด้วยคน ส่วนบ้านเราก็... เอ่อ... จะบอกอย่างไรดี ที่ญี่ปุ่น เพียงวันแรกที่พบผู้ป่วยไข้หวัดหมูในโกเบ หลังวันที่ 2 พฤษภาคม ที่มีการแข่งวอลเลย์บอลระดับไฮสกูล จนวันนี้พบผู้ติดเชื้อแล้วถึง 279 (ตัวเลขเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม) ทั่วภูมิภาคคันไซ โดยมีศูนย์กลางที่โกเบ รวมทั้งโอซาก้า ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดหมูรายแรกในโตเกียวเมื่อวานซีน ...ซึ่งก็คือมันระบาดไวมาก และที่ทราบจากข่าวก็คือ ระยะฟักตัวของเชื้อนี้คือประมาณหนึ่งอาทิตย์ ฉะนั้นเราจะไม่ทราบว่าติดเชื้อในระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งก็แพร่เชื้อไปไหนต่อไหน อย่างที่เกิดที่ญี่ปุ่นเวลานี้

เห็นว่าเอกสารที่เก็บมาจาก Centre for Helth Protection (http://www.chp.gov.hk/) ของทางการฮ่องกง เป็นประโยชน์ต่อชาวไทย จึงขออนุญาติลอกมาให้อ่านกัน
ไข้หวัดหมูในมนุษย์
ภูมิหลัง
มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไข้หวัดหมูสายพันธุ์ A/H1N1 (ไข้หวัดหมู) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศเม็กซิโก และประเทศต่างๆ จำนวนมาก ไว้รัสไข้หวัดใหญ่หมูนี้ แต่เดิมเป็นที่ทราบกันดีว่า แพร่ระบาดในหมูและมีการแพร่เชื้อไปสู่มนุษย์บ้าง แต่ในเวลานี้เกิดการแพร่ระบาดไวรัสไข้หวัดหมูไปทั่วโลก และเป็นการแพร่เชื้อจากมนุษย์ไปสู่มนุษย์ด้วยกันเอง
ลักษณะอาการ
อาการของไข้หวัดหมูในมนุษย์นั้นมักจะคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่ธรรมดาในมนุษย์ที่ติดเชื้อตามฤดูกาล ซึ่งได้แก่ มีไข้ เซื่องซึม ไม่อยากอาหาร และไอ บางคนที่ติดเชื้อไข้หวัดหมูอาจมีอาการน้ำมูกไหล เจ็บคอ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงร่วมด้วย
วิธีการติดต่อ
การติดเชื้อไข้หวัดหมูในมนุษย์สู่มนุษย์คาดว่าเกิดขึ้นในทำนองเดียวกับการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ที่แพร่ระบาดในหมู่ผู้คน นั่นคือ โดยหลักๆ แล้วเกิดจากการไอหรือจาม นอกจากนี้ผู้คนอาจได้รับเชื้อจากการสัมผัสวัตถุที่มีเชื้อไวรัสไข้หวัดปนเปื้อนอยู่ และจากนั้นไปสัมผัสกับจมูกปากของตน
ไม่มีรายงานว่ามีการติดเชื้อไข้หวัดหมูสู่คนผ่านการรับประทานอาหารจำพวกเนื้อหมู หรือผลิตภัณฑ์จากหมูที่มีการจัดการและการปรุงสุกอย่างเหมาะสม การปรุงเนื้อหมูให้สุกภายในอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส (160 องศาฟาเรนไฮน์) ทำให้เชื้อไว้รัวไข้หวัดหมูตาย
การควบคุม
ผู้ที่เริ่มมีอาการไข้หวัดใหญ่ ควรสวมผ้าปิดปากและพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ผู้ที่ไปยังสถานที่ที่มีการติดเชื้อ หรือได้คลุกคลีกับผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงสถานที่ที่เคยเดินทางไป และประวัติการสัมผัสเชื้อ
ยาต้านไวรัสสามารถลดความรุนแรง และระยะเวลาของการเจ็บป่วยลงได้ แต่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์ 'จะต้องไม่ซื้อยามาใช้เองโดยเด็ดขาด'

การป้องกัน
เนื่องจากไวรัสไช้หวัดหมูสายพันธุ์ H1N1 แตกต่างไปจากไวรัส H1N1 ในมนุษย์อย่างมาก วัคซีนสำหรับรักษาไข้หวัดธรรมดาในมนุษย์จึงไม่ให้การป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูสายพันธุ์ H1N1 แต่อย่างใด
ประชาชนควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันล่วงหน้าต่อไปนี้:
- รักษาความสะอาดมือ และล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ การใช้น้ำยาเช็ดมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ก็ได้ผลเช่นกัน
ในยามที่มือปนเปื้อนกับสิ่งสกปรกที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ควรจะ
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสปาก จมูก หรือตา
- ล้างมือด้วยสบู่เหลวโดยทันทีหากมือปนเปื้อนสารคิดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ เช่นหลังจากจามหรือไอ
- ปิดจมูกหรือปากเมื่อจามหรือไอ
- ไม่ถมน้ำลาย และใช้กระดาษทิชชู่ปิดจมูกและปากก่อนบ้วนน้ำลาย และทิ้งกระดาษทิชชู่ลงในถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด
- สวมผ้าปิดปากเมื่อมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ หรือเริ่มมีไข้ แล้วไปพบแพทย์โดยทันที
- ไม่ไปทำงาน หรือโรงเรียน หากคุณมีอาการคล้ายไข้หวัด
หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่ที่มีการติดเชื้อ ยกเว้นถ้ามีความจำเป็นจริงๆ ซึ่งหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรจะ
- ในระหว่างการเดินทาง - สวมผ้าปิดปาก และไม่สัมผัสกับผู้ป่วย
- หลังจากกลับมาจากการเดินทาง - ใส่ในใจสุขภาพของตนเองอย่างใกล้ชิด และสวมผ้าปิดปากเป็นเวลา 7 วัน และรีบปรึกษาแพทย์ในคลีนิคหรือโรงพยาบบาลของรัฐโดยทันที หากมีอาการคล้ายไข้หวัดปรากฏ
(ข้อมูลวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552)
ติดตามสถานการณ์ข่าวคืบหน้าของไข้หวัดหมูของกระทรวงสาธารณสุข ได้ที่ http://beid.ddc.moph.go.th/th/index.php?option=com_content&task=view&id=419303&Itemid=199
17 May 2009
มันมาพร้อมBTS!!




06 May 2009
คิดจะทำ

04 May 2009
อาถรรพ์
03 May 2009
Brazilian Chicken Noodle


และผักอื่นๆ รสออกเค็มและมีกลิ่นหอมๆ คล้ายครีมนม อร่อยดี แต่ก็ไม่ถึงกับประทับใจมากมายนัก
Behind the Scene "Honda Music Fest @ Hua Hin 2009"

ไปหัวหินเที่ยวนี้แบบไม่เตรียมตัวใดๆ แค่มีคนชวนไป Honda Music Fest @ Hua Hin ก็ตกลงไป เพราะทุกครั้งไปหัวหินก็ชิวๆ ยังไงก็มีที่พักเกร๋ๆ และก็เลิฟหัวหินเป็นมากมาย เดินทางตอนสาย ไปถึงหัวหินรถติดแสนติด ก่อนถึงวังไกลกังวลยาวไปถึงเขาตะเกียบ แถมที่พักราคาถูกเต็มหมด ยาวไปถึงชะอำ!!! ก็ช่างมัน เอาไว้คิดกันทีหลัง ว่ากันเรื่องทีหน้าดีกว่า ต้องไปร่วมงาน ที่เขาว่าปีที่แล้วเกร๋มาก ไปถึงซอยเขาตะเกียบ รถติดแสนติด ก็เลยต้องทิ้งรถไว้ข้างทาง เดินไปถึงหาดราว 40 นาที!! ก็ได้พบกับภาพที่เห็น คือคนแน่นมาก แม้จะมีคนทยอยออกเยอะมากเช่นกัน คนไปสัก 90% มีแต่เด็กแนว และผู้ใหญ่แนวๆ แน่ขนัดเต็มหาด ไปถึงราวเที่ยงคืน พบว่าน้ำทะเลกำลังขึ้น จากเวทีบนหาด เริ่มกลายเป็นเวทีกลางน้ำ ก็มิได้หวาดหวั่น ผู้คนก็ยังเต้น เล่น กันในทะเลที่กำลังขึ้น อันนี้น่ากลัวมาก เพราะคนเริ่มเมา ให้ไปเต้นรำกันในน้ำ คิดได้งัย แม้จะไม่ลึกมาก แค่เข่า แค่อก แต่คนเมาก็ไม่มีความสามรถพอที่จะช่วยตัวเองได้ ไม่ทันขาดคำ ก็มีเจ้าหน้าที่ช่วยกันหามผู้บาดเจ็บขึ้นมาจากน้ำ ทราบว่าเมาแล้วหลับ จึงจมน้ำ มิรู้เป็นตายร้ายดี แต่ดนตรีก็ยังสนุกต่อไป!!



