12 August 2010

Tokyo Tower


ผมซื้อนิยาย "โตเกียวทาวเวอร์ แม่กับผม และพ่อในบางครั้งคราว" ตั้งแต่หนัง "Tokyo Tower รักยิ่งใหญ่ หัวใจให้เธอ" ลาโรงบ้านเราไปได้สักพัก (ประมาณปลายปี 2551) ที่ไม่ดูหนังเรื่องนี้ (คือเรื่องเดียวกันทั้งนิยาย และหนัง) เนื่องจากอยากอ่านนิยายให้จบก่อน และคิดว่าซื้อดีวีดีดูทีหลังก็ได้ อยากอ่านนิยายให้เต็มอิ่มกับพรรณาก่อนจะมาดูหนัง ที่คงย่นย่อเรื่องไปพอควรตามข้อจำกัดของหนัง

พอได้หยิบอ่านครั้งแรก อ่านไปได้สองสามบท ก็เริ่มเบื่อ เพราะผู้เขียนบรรยายสภาพตอนเด็ก แม่ พ่อ ยาย และย่า อย่างละเอียดละออ มีการตัดพ้อ การบรรยายสภาพที่แปรเปลี่ยนไป ทั้งสถานที่ และคน ...ทำไมมันช่างยืดยาด ว่าแล้วก็คั่นไว้ไม่อ่านต่อ (จริงๆ ผมมันคนไม่ชอบอ่านบทต้นๆ ของนิยายต่างหากล่ะครับ ไม่ใช่ความผิดปกติของนิยายเรื่องนี้)

กระทั่งเมื่อต้นเดือนสิงหาคม ปีที่แล้ว มีเหตุให้ต้องนำร่างผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ก่อนไปผ่าตัดก็ตั้งใจว่าจะเอาหนังสือไปอ่าน เผื่อจะเบื่อ เผื่อจะอยู่เซ็ง นึกได้ว่ายังอ่านโตเกียว ทาวเวอร์ไม่จบ ก็เลยหยิบเล่มนี้ติดมือไปโรงพยาบาลด้วย


จริงดังว่า ผ่าตัดเสร็จ ก็เบื่อ เนื่องจากแผลเล็ก หายเร็ว ไม่เจ็บมาก จึงนำหนังสือเล่มที่อ่านค้างไว้มาอ่านต่อให้จบ..


จากสิ่งที่เขาปูเรื่องไว้ ให้รู้สึกว่าน่าเบื่อ ทว่า มันทำให้ผมเกิดความรู้สึกร่วมไปกับความธรรมดาที่ผู้เขียนบรรยายไว้ "แม่" เริ่มเข้ามามีบทบาทกับชีวิตของตัวละครในเรื่องมากขึ้น ตัวละครอื่นๆ เริ่มจางไป แต่กลับทำให้เห็นภาพว่าแม่ของแม่ และแม่ของพ่อ และพ่อ สำคัญกับชีวิต และความผูกพันที่เกิดระหว่างเขากับแม่ กระทั่งเกิดเหตุการณ์ไม่ดีกับแม่


ตัวละครเอก อายุราวคราวเดียวกันกับผม แม่ในนิยาย ก็รุ่นราวคราวเดียวกับแม่ผม ต่างกันตรงที่ผู้ป่วยในเรื่องคือแม่ ในชีวิตจริงคือผม ซึ่งก็ไม่ได้ร้ายแรงเท่าแม่ในนิยาย คนที่เฝ้าไข้แม่ในนิยายก็คือตัวเอก ส่วนชีวิตจริง ทั้งพ่อและแม่มาเฝ้าไข้แทบจะไม่ห่างกันเลย


นอนบนเตียงพยาบาล ก็อ่านนิยายไป ก็ยิ่งได้บรรยายากาศ เนื้อเรื่องงวดเข้าไปทุกขณะ ก็เริ่มรู้สึกหดหู่ ...ไม่ไหวแล้ว ยิ่งอินไปกับเนื้อเรื่อง เพราะแค่เราปวดถุงน้ำดีก่อนหน้าที่จะผ่าตัดก็แทบแย่ ต้องให้ยาจำพวกเดียวกับมอร์ฟีนเพื่อระงีบการปวด แล้ว "แม่" ในเรื่องไม่เจ็บกว่าเรามากมายหรือ


ไม่ไหวแล้ว ...อ่านต่อไปไม่ไหวแล้ว เพราะยิ่งเศร้า ยิ่งสงสาร "แม่" ในเรื่องมาก น้ำตาก็ไหลพราก ร้องไห้กระซิกๆ ก่อนที่จะปล่อยโฮ !! คือร้องไห้งอแง น้ำตา น้ำมูกไหล แบบไม่ห่วงสวยกันเลย (เพราะอยู่คนเดียวในห้องผู้ป่วยน่ะ) ทรมานการอ่านในสภาพของเราเช่นนั้น ราวกับอยู่ในนิยายด้วย


จึงต้องหยุดการอ่านไว้แค่นั้น และก็ไม่กล้าหยิบขึ้นมาอ่านอีกเลย กระทั่งทุกวันนี้ เพราะพอจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ "แม่" ในท้ายที่สุด ...ขนาดแค่นี้ยังอ่านไม่ไหว แล้วตอนจบไม่เศร้าใจสลายไปเลยหรือนี่


ส่วนดีวีดี ก็ซื้อหลังจากที่วางขายได้ไม่นาน คิดว่ายังไงก็จะดูแน่นอน แต่มาวันนี้ชักไม่แน่ใจซะแล้วว่าจะดูไหว ก็ยังห่อพลาสติกเอาไว้เหมือนเช่นวันที่ซื้อมา ยังไม่มีแววว่าจะกล้าพอที่จะหยิบมาดูวันไหน


แต่ที่แน่ๆ คงต้องเป็นหลังจากที่อ่านนิยายให้จบเสียก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่อยู่ดี


ที่เขียนมาทั้งหมด เหมือนจะเป็นเรื่องเศร้าของ "แม่" ที่ดันมาเขียนวันแม่ ก็แค่อยากบอกว่า ชีวิตไม่ใช่นิรันดร์ ไม่รู้วันไหนจะกลับสู่พื้นดิน เมื่อวันนี้ คุณๆ ยังมีแม่ ที่รักและห่วงใยเราอย่างเสมอต้นเสมอปลาย คุณๆ ก็ควรใช้ชีวิตร่วมกับคุณแม่ (และคุณพ่อ) ให้เป็นเวลาที่ดี และมีความสุขที่สุด จะได้ไม่นึกเสียดาย ยามที่เขาไม่ได้อยู่กับเราแล้ว


ทุกวันนี้ ทุกวันอาทิตย์ จะให้เป็นวันที่อยู่กับพ่อและแม่ หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ทานอาหารมื้อเย็นด้วยกันครับ เพื่อนๆ สนิทๆ ก็จะรู้ และไม่ชวนไปไหนวันอาทิตย์ นี่คือหนึ่งในสิ่งเล็กๆ ที่ผมพอจะทำให้แม่และพ่อได้ แต่เทียบไม่ได้กับสิ่งดีๆ ที่ทั้งสองมอบให้มาทั้งชีวิต


สุขสันต์วันแม่ และของให้แม่ทุกๆ คนบนโลกนี้มีความสุขที่สุดครับ


รักม่าม้านะ <3