12 August 2009

สุขสันต์วันแม่

วันที่ผมแอดมิตฉุกเฉินด้วยอาการปวดถุงน้ำดีอย่างหนัก คุณแม่ และคุณพ่อ ก็พุ่งออกจากบ้านมาโรงพยาบาลทันที แม้ตอนนั้นจะเป็นเวลาสี่ห้าทุ่มแล้วก็ตาม
เห็นอาการปวดท้องของผม คนที่แสดงออกมากที่สุดแน่นอนว่าคือคุณแม่ ส่วนคุณพ่อก็ตามสไตล์คุณพ่อ ก็คือไม่ค่อยแสดงออกนัก แต่รู้ได้ด้วยการกระทำของพ่อเสมอ
โตแล้ว ก็ไม่ค่อยได้จับมือแม่ตอนเดินเล่น แต่ตอนที่ปวดท้องทรมานแบบว่าทนไม่ไหวแล้ว แม่ยื่นมือมาใกล้ให้จับ สัมผัสจากมือแม่ตอนนั้น รู้สึกได้ทันทีถึงความเป็นห่วง และรู้สึกได้ว่าแม่ทรมานไม่แพ้ลูก เป็นมือที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่ได้สัมผัสมา แม้มือแม่ตอนนี้อาจจะไม่ตึงเหมือนตอนผมยังเด็ก แต่ความอบอุ่นยังมากมายเช่นเดิม อาจจะเป็นเพราะผมชอบจับมือควงแขนแม่มาตั้งแต่เด็กจนถึงมัธยม จนคนที่เขินที่จะควงด้วยน่ะ คุณแม่ผมเอง นั่นทำให้ผมจำความรู้สึกที่เคยจับมือแม่เมื่อครั้นยังเด็กได้ดี
วันที่ผมเข้าผ่าตัด ยิ่งเห็นถึงความห่วงใยของแม่ เพราะวันนั้น แม่ที่เป็นความดันอยู่แล้ว วันนั้นความดันสูงขึ้นกว่าปกติมากจนเวียนหัว กว่าความดันจะลงสู่ระดับปกติ ก็คือวันที่ผมออกจากโรงพยาบาล
คนที่รอผมตั้งแต่เริ่มเข้าห้องผ่าตัด รอจนกระทั่งผมออกมาจากห้องผ่าตัด ก็คือคุณแม่ คุณแม่เดินตามไปส่งผมเข้าห้องผ่าตัด ลูบหัวไปตลอดทาง ตอนนั้นผมไม่ค่อยรู้เรื่อง ภายหลังน้าสาวที่ตามมาด้วยกับแม่ เล่าว่าแม่ร้องไห้ไปตลอดทางที่ส่งผมเข้าห้องผ่าตัด ทั้งที่รู้ว่าผ่าตัดนี้ไม่ได้อันตรายเลย
ที่จำได้ชัดคือตอนออกจากห้องผ่าตัด คนแรกที่เข้ามาหาผม เข้ามาลูบหัวผมก็คือคุณแม่ และเป็นอีกครั้งที่ได้จับมือคุณแม่ แม่พูดซ้ำไปมาว่าเพียงว่า "เป็นยังไงบ้าง เจ็บมั้ย" น้ำตาแม่ก็ไหลออกมา
แม่ลูบหัว สัมผัสจากมือแม่ เหมือนได้กลับไปเป็นเด็ก ได้หวนระลึกถึงความรักของแม่ ที่มีต่อลูก ความรักแบบที่มีแต่การให้ และให้ตลอดไป
อาจเป็นเรื่องธรรมดาในวันหนึ่ง แต่เป็นเวลาที่พิเศษสุดๆ สำหรับผม ที่ได้สัมผัสถึงความห่วงใยอันยิ่งใหญ่ของ แม่ อีกครั้ง

10 August 2009

ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 4 - จบ)


นิดหน่อยส่งดอกไม้มาเยี่ยม
คุณหมอ ณรงค์ แพทย์เจ้าของไข้ และ แพทย์ผู้ผ่าตัดบอกผมเมื่อวันที่ไปตัดไหม (8 สิงหาคม - เพราะหลังวันผ่าตัดไม่ได้เจอคุณหมอเลย แต่หลังผ่าตัด คุณหมอได้เจอคุณแม่และแจ้งให้ทราบแล้ว) ว่า "รู้ไหม เคสคุณทำเอาผมเกือบแย่!" ขนาดนั้นเลย?
"คือมันอักเสบมากแล้วน่ะ" คุณหมอบอก ...อันที่จริง บอกมากกว่านี้ แต่ขอไม่เล่ารายละเอียด เพราะเล่าแล้วคนเข้ามาอ่านคงรับไม่ได้ ผมฟังแล้วยัง หูผึ่ง ตาโพลง จริงหรอคุณหมอ!? บอกได้นิ่งในถุงน้ำดีของผมเป็นมานานแล้ว จนผนังถุงน้ำดีหนาขึ้นมาก บ่งบอกอาการอักเสบได้ระดับหนึ่ง นี่ผมทนมาได้นานขนาดนี้เลยหรอ
อ่านเจอในบันทึกของตัวเองว่า คืนผ่าตัดเสร็จรู้สึกเจ็บตลอดที่แผลเจาะท้อง 4 รู โดยเฉพาะที่สะดือ 4 รูที่ว่า คือใต้สะดือ หน้าท้องขวา ลิ้นปี่ และชายโครงขวา เพราะผ่าตัดแบบใช้กล้องส่อง ตรงสะดือรูใหญ่กว่าใคร เพราะเป็นที่ต้อท่อสำหรับดึงเอาชิ้นเนื้อออกมา สามรูที่เหลือเอาไว้สอดเครื่องมือผ่าตัด ปวดหน่วงๆ และระคายที่สะบักขวา แต่ตรงที่ตัดเอาถุงน้ำดีออกข้างในร่างกลับไม่ค่อยรู้สึก

ถ่ายจากระเบียงโรงพยาบาล ซ้ายคือพระบรมมหาราชวัง ขวาวัดอรุญฯ
การผ่าตัดแบบสอดกล้อง เป็นที่นิยมใช้ในการผ่าตัดปัจจุบันมาก เพราะแผลเล็ก จึงลดการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้กว่าครึ่งหนึ่งของการผ่าตัดเปิดช่องท้องแบบเดิม ที่แผลยาว และต้องพักฟื้นทั้งที่โรงพยาบาล และที่บ้านนานเป็นเดือน อย่างของผม ผ่าตัดเย็นวันเสาร์ วันจันทร์ก็เดินปร่อ พร้อมกลับบ้านแล้วว่างั้น
คืนนั้นหลับๆ ตื่นๆ เพราะพยาบาลเข้ามาตรวจอาการตลอด ถามว่าปัสสาวะหรือยัง ก็บอกว่ายัง แต่สักพักก็ปวดปัสสาวะ ลุกขึ้นไปห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ทั้งปวดแผล เพราะลุกขึ้นไม่ถูกท่า ไหนจะมีสายน้ำเกลือ และยังคอแห้งเพราะฤทธิ์ยานอนหลับ
พยาบาลแนะนำวันรุ่งขึ้นถึงวิธีการลุกนั่ง และยืน ว่าให้ลุกขึ้นนั่งโดยหันข้าง อีกมือหนึ่งประคองแผลเพื่อลดแรงกระเทือน ก็ได้ผล ลดอาการปวดได้เยอะเลย เดินไปทำธุระในห้องน้ำได้สะบาย
ถ่ายรูปตอนดึก จุดเดิม วิวเดิม
คุณหมอแนะนำว่าหลังผ่าตัดแบบนี้ ควรเดินให้มากๆ เพราะเวลาผ่าตัดต้องอัดแก๊สเข้าช่องท้องเพื่อง่ายต่อการผ่าตัด ทำให้ยังมีลมค้างอยู่ในช่องท้อง ก็อาจจะปวดท้อง ปวดไหล่ได้ แล้วแต่กรณี การเดินบ่อยๆ จึงจะช่วยไล่ลมที่อยู่ในช่องท้องได้เป็นอย่างดี
เช้าวันรุ่งขึ้นเจ็บแผลผ่าตัด คงเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดหายไปแล้ว แต่ก็ไม่หนักหนา ลุกเดินได้ร่าเริง บ่ายๆ น้ำเกลือหมด เขาก็เอาเข็มออก เย้ๆๆ ได้อาบน้ำได้อะไรโน่นนี่ได้เองแล้ว คราวนี้ก็เดินว่อน ขึ้นลงตึกพักผู้ป่วย (มีเซเว่นอีเลเว่นอยู่ข้างล่าง)
และก็มีช่อดอกไม้จากนิดหน่อย ประดับห้องให้สดใส ผ่าตัดนี้ไม่ค่อยได้ให้ใครมาเยี่ยม เพราะคิดว่าอยู่ไม่นาน คราวแรกคิดว่าวันจันทร์ก็คงออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ก็เลยบอกทุกคนว่าไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวก็ออกแล้ว ครั้นจะให้ไปเยี่ยมที่บ้าน คงออกมาเปิดประตูไม่ได้นำ อยู่พักฟื้นที่บ้านคนเดียว และประตูบ้านหนักมาก ยกประตูเปิดไม่ได้
แต่เอาเข้าจริง วันจันทร์คุณหมอไม่มา ก็เลยต้องอยู่ต่ออีกคืน โหย เซ็งมาก การอยู่โรงพยาบาลนี่มันน่าเบื่อจริงๆ เพราะจะเดินออกไปซื้อของกิน เดินเล่นนอกโรงพยาบาลก็ไม่ได้ ห้องก็เล็กๆ เดิมๆ มิน่าล่ะ ใครๆ ก็อยากออกจากโรงพยาบาลเร็วๆ
ปิดท้ายด้วย คำขอบคุณครับ ที่โทรมาหา เอาของมาเยี่ยม โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ไม่ห่างเลย จุ๊บ จุ๊บ จริงๆ แค่ได้รับ sms หรือข้อความใน msn หรือ facebook ก็ดีใจมากแล้ว
ขอบคุณทุกคนมากครับ :)

08 August 2009

ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 3)

ขอย้อนกลับไปตอนอยู่ห้องรอผ่าตัด เจ้าหน้าที่ห้องรอผ่าตัดก็เขามาทักทายอย่างอารมณ์ดี ไอ้เราก็ช่างเม้าท์ เลยชวนเขาคุยเสียงั้น จนเขาพูดขึ้นมาว่า "ได้ยาแก้ปวดไม่รู้สึกมึนๆ ง่วงๆ บ้างหรอคะ" จะบอกให้หุบปากก็พูดมาเหอะ!
หลังจากสิ้นสติไปตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกที เหมือนในภาพยนตร์เวลาคนโดนตีหัวสลบแล้วตัดภาพมาเป็นห้องอะไรสักอย่าง ที่ไหนกันเนี่ยะ? ตกลงได้ผ่าตัดแล้วหรอ? แล้วอะไร ยังไง??? คำถามเกิดขึ้นมากมาย เพราะก่อนหลับ ห้องสว่างมาก มาอยู่ห้องนี้ทำไมทึมๆ มืดๆ ล่ะ เจ้าหน้าที่แพทย์หันมาเห็นว่าไอ้นี่กำลังฟื้น ก็มาถามสารทุกข์ ว่าตื่นแล้วหรอ เนี่ยะญาติมาถามถึงตั้งนานแล้ว เดี๋ยวรีบออกไปกัน
ได้สติมาก็รู้สึกเวียนๆ นิดหน่อย เป็นผลมาจากยาสลบ เวลาพูดก็พูดลิ้นแข็งๆ เหมือนคนเมา แต่ก็ช่างเม้าท์แม้จะพูดลำบาก ก็เจอหน้าแม่และน้าสาวที่มารอหน้าห้อง แม่ก็ร้องไห้ เหมือนกับว่านึกว่าตายไปแล้ว ได้ความทีหลังว่า หลังจากที่คุณหมอออกมาจากห้องผ่าตัดแล้ว เจ้าหน้าที่แพทย์ที่ตามมา บอกแม่เหมือนว่าคนไข้ไม่ได้สติอะไรทำนองนั้น แม่ก็เข้าใจไปว่าลูกกรูแย่แล้ว ขณะที่เจ้าตัวก็หลับปุ๋ย จากคำบอกเล่า ใช้เวลาผ่าตัดราว 40 - 50 นาที แต่ผมมาตื่นเอาตอนทุ่มครึ่ง เบ็ดเสร็จก็หลับต่อไป สอง - สาม ชั่วโมง ขี้เซาจริงๆ
ฤทธิ์ยาสลบทำให้คอแห้งเป็นอันมาก อย่างแรกที่ร้องขอก็คือน้ำ จากนั้นก็เริ่มรู้สึกเหมือนท้องว่าง ก็แน่ล่ะ ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 2 ทุ่ม หม่ำแค่โจ๊กชามเดียว ไม่หิวก็แย่ละ แผลเผลอไม่สนใจใดๆ ว่าจะเจ็บไม่เจ็บ รู้แค่หิว หิว และหิว เข้าไปพักฟื้นที่ห้องสักครู่ พยาบาลก็นำน้ำมาให้ดื่ม และอาหารเหลว ประกอบด้วย น้ำข้าวต้ม ซุบใสอะไรสักอย่าง น้ำขิงผง น้ำเก็กฮวยผง และน้ำมะตูมผง
แหกปากร้องหิวข้าว แต่พอลุกขึ้นมานั่งจริงๆ ก็เริ่มปวดแผลเล็กๆ แต่หนักที่สุดเห็นจะเป็นอาการมึนยาสลบ ทำให้เริ่มไม่อยากจะดื่มอาหารเหลวที่จัดมา แต่ก็ฝืนดื่มน้ำข้าวต้ม และซุปใสอย่างละครึ่ง น้ำขิง และน้ำเก็กฮวย แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อไปแบบมึนๆ ...
ของฝากจากถุงน้ำดี กึ๋ย!!

ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 2)

เช้าวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม เดินทางไปถึงโรงพยาบาลเกือบ 8 โมง เพราะต้องตรวจร่างกายก่อนผ่าตัดตามเวลาที่คุณหมอนัดไว้คือบ่าย 3
เดินเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่พ้องพักเพื่อเช็คอิน แล้วออกมาที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสตรงข้ามประตูจองห้องพัก เพื่อเซ็นเอกสารสำหรับผ่าตัด จากนั้นพยาบาลจึงพาไปเอ็กซ์เรย์ปอด รอเอ็กซ์เรย์นานทีเดียว แต่เอ็กซ์เรย์แป๊บเดียวเอง แล้วก็กลับมานั่งที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสอีกรอบ เพื่อรอพยาบาลนำไปห้องพักผู้ป่วย
ห้องพักอยู่ชั้น 12 ห้อง 1211 ชั้นบนสุดของตึกผู้ป่วย สงสัยว่าคงถูกโฉลกกับที่สูงๆ เพราะตอนที่แอดมิตโรงพยาบาลเดิม ก็อยู่ชั้น 20 ชั้นบนสุดของตึกผู้ป่วยของโรงพยาบาลนั้นเช่นกัน
ห้องพักเล็กจิ๋ว ยิ่งเทียบกับโรงพยาบาลเดิมที่เพิ่งไปใช้บริการก่อนนี้ราวสัปดาห์ ไม่มีไมโครเวฟ ไม่มีกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ทีวีก็ไปซุกไว้ใกล้ทางออก เตียงคนไข้ และโซฟาของคนเฝ้าไข้อยู่อีกมุมหนึ่ง ดูทีวีก็ต้องชะเง้อกันเลยทีเดียว
ก่อนทานข้าวเช้า พยาบาลนำเครื่องตรวจคลื่นหัวใจมาตรวจถึงเตียง จากนั้นก็เป็นเวลาระทึกขวัญ นั่นคือการเจาะเลือด เพราะผมเป็นคนที่กลัวเข็มที่สุดในโลก ลำพังดูหนังที่มีฉากเข็มจิ้มยังดูไม่ได้ หลับตาตลอด คราวนี้จะต้องมาจิ้มกันแต่เช้า โอ้ยยย ทำไงๆ
พยาบาลบอกว่าจะเจาะเข็มฝังน้ำเกลือ และดูดเลือดจากรูเจาะเลยทีเดียว จะได้ไม่ต้องเจาะหลายรอบเจ็บตัวเปล่าๆ ผมก็ว่าดี เจาะน้อยๆ ยิ่งดี ไม่ชอบเลย ก็แนะนำพยาบาลไปว่าเจาะตรงหลังมือสิ เห็นชัดดี แอดมิตคราวที่แล้วพยาบาลเขาก็เจาะตรงนี้ทีเดียวอยู่ แต่คุณพยาบาลเห็นว่าที่ข้อมือเส้นเลือดชัดกว่า (และอาจจะทำให้ขยับมือได้สะดวกกว่าด้วย) ว่าแล้วก็ตบๆ แปะๆ ที่ข้อมือสักครู่ แล้วก็เอาเข็มจิ้มลงไป รู้สึกเจ็บหน่วงๆ ถึงตอนนี้ก็หลับตาปี๋ ในใจก็คิดว่าเสร็จยังๆๆๆๆ ...เอ๊ะ ทำไมนาน ยังไม่เสร็จสักที หันกลับไปมอง อ้าว เอาเข็มออกมาแล้วนิ สรุป หาเส้นไม่เจอ ...เวรกรรม!
จากนั้นพยาบาลก็กลับมาจุดเดิม คือหลังมือเหมือนที่แนะนำไปแต่แรก จิ้มคราวนี้ พยาบาลก็เหมือนลังเลเล็กน้อย ไอ้เราก็ใจแป้ว จะต้องโดนจิ้มอีกมั้ย ความกลัวก็มากขึ้น - จิ้มจึก! และควานหา คราวนี้ก็ได้ผล หาเส้นเจอ ว่าแล้วคุณพยาบาลก็ดูดเลือดเพื่อนำไปตรวจ แต่ปัญหายังไม่จบแค่นั้น เพราะตอนนี้เกิดอาการกลัวมาก ทำให้เลือดที่ได้น้อย และเป็นฟอง
ทำไงดีล่ะ พยาบาลอีกคนบอกว่าเลือดไม่พอตรวจ ว่าแล้วก็ต้องมาเจาะเลือดที่ข้อพับแขน เพื่อให้ได้เลือดเพิ่ม สรุป ตรูโดนแทงไปสามเข็ม มากกว่าไอ้ที่บอกว่าแทงทีเดียว เจ็บทีเดียวสามเท่า แถมยังได้เข็มคามือไว้ตั้งแต่เช้า หมดโอกาสไปแรดไหน เห้อ! กลัวอะไร ก็มักได้อย่างนั้นเสมอเลยจริงๆ นะ
และด้วยความที่เจาะไปถึงสามเข็ม สติก็เลยแตก ความกลัวขึ้นหัวขึ้นหู ส่งผลให้เกิดอาการที่เรียกว่า 'กลัวจนตัวสั่น' มือไม้ ปากเปิก หนาวสั่นไปหมด จนต้องขอผ้าห่มมาห่มคลายความสั่นกลัว ใช้เวลานานจนอาหารเช้าที่นำมาเสิร์ฟเย็นชืด ต้องยกออกไปอุ่นใหม่
ทานข้าวเช้าเสร็จ ก็ได้เวลาขึ้นป้าย 'งดน้ำและอาหาร' จนกระทั่งตอนเที่ยง พยาบาลเข้ามาต่อน้ำเกลือเข้ารูเข็มที่เจาะไว้เมื่อเช้า และแจ้งว่าราวบ่ายสองจะมีเจ้าหน้าที่มารับตัวไปห้องผ่าตัด ...ว่าแล้วก็เริ่มเครียด ยิ่งมีเวลาว่างก็ยิ่งคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด เพราะไม่เคยผ่าตัดมาก่อนในชีวิต ทางแก้ของผมก็คือหาอะไรทำ อย่างเช่น อ่านหนังสือ พอมีสมาธิกับการอ่าน ก็เริ่มไม่ฟุ้งซ่าย ลืมเรื่องการผ่าตัดไปได้
กระทั่งบ่ายสอง พยาบาลนำยาแก้ปวดมาฉีดให้หนึ่งเข็ม ตอนยาเข้าเส้นเนี่ยะ ปวดๆ แสบๆ ที่มือและข้อมือ สักพักหนึ่งก็เริ่มเบลอ มึนๆ งงๆ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ก็จับผมย้ายไปที่เตียงเข็น เพื่อไปยังห้องรอผ่าตัด
ณ ห้องรอผ่าตัด ก็นอนมึนๆ ไปเรื่อยๆ กระทั่ง เอ๊ะ นานไปมั้ยนะ ไอ้เราก็ตื่นเต้น (ไม่เครียด ไม่กลัวละ) จนเริ่มได้สติกลับคืนมา เจ้าหน้าที่ก็พาไปยังห้องผ่าตัด 'OR4' หรือห้องผ่าตัดหมายเลขสี่
ห้องผ่าตัดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หรืออย่างที่เห็นในภาพยนตร์ เพราะเป็นห้องสีขาวสะอาดตา โล่งๆ มีเตียงผ่าตัดขนาดพอดีตัว กระดุกกระดิกเป็นอันตกเตียง มีแกนขนาดใหญ่เหนือเตียง ที่แขนขาเป็นเครื่องมือแพทย์และไฟผ่าตัด ข้างๆ มีเครื่องมือแพทย์ขนาดใหญ่อยู่สามสี่ชิ้น ที่พนังห้องมีช่องใส่อุปกรณ์แพทย์ปลอดเชื้อ ฯลฯ อย่างกะอยู่ในหนัง Resident Evil
ขยับไปนอนบนเตียงผ่าตัด แล้วเจ้าหน้าที่ก็จับแขนซ้ายที่มีสายน้ำเกลือกางออก แขนขวาล็อกไว้กับเตียง และพันด้วยเครื่องวัดความดัน หน้าอกแปะเครื่องวัดการเต้นหัวใจ สักครู่วิสัญญีแพทย์ก็เข้ามา ชวนคุยโน่นนี่ ไอ้เราก็คุยคิกคัก ร่าเริง ระหว่างนั้นหมอก็ให้ยาแก้ปวดอีกเข็ม ก็เริ่มมึนๆ งงๆ อีกครั้ง หมอบอกว่านี่ไม่ใช่ยาสลบนะ แต่จู่ๆ ก็สิ้นสติไปตอนไหนไม่รู้ รู้แค่ว่าก่อนที่สติจะหายไป เหลือบดูเวลา 15.45 น...

07 August 2009

ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 1)


รูปคู่กะโค้กซีโร่ของนิดหน่อย ก่อนวันผ่าตัดสองวัน นัยว่าต้องจากน้ำอัดลม และอื่นๆ ไปอีกหลายเดือน




ความเดิมที่ไปแอดมิตในโรงพยาบาลที่เคยไปใช้บริการประจำ บัดนี้คงไม่ไปแล้วล่ะ เซ็ง
ก็เปลี่ยนโรงพยาบาล เป็น โรงพยาบาลธนบุรี แถวพรานนก เนื่องจากคุณยายเคยรับการรักษากับคุณหมอ ณรงค์ เลิศอรรฆยมณี ที่เป็นคุณหมอจากศิริราช มารับรักษาเป็นเวลาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ผมไปพบคุณหมอเมื่อวันอังคารที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เริ่มจากโรงพยาบาลนี้ก่อนเลย ว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชน ที่ดูเผินๆ นึกว่าเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล เพราะคนไข้เยอะเหลือเกิน ยิ่งเทียบกับโรงพยาบาลเก่าที่ว่ามา โรงพยาบาลนี้ต้องเรียกว่าหนาแน่นมาก
ได้พบคุณหมอตอนเย็น ก็ตามระเบียบ คุณหมอดูฟิล์มเอ็กซ์เรย์ ก็บอกตามที่เห็นว่าพบนิ่วในถุงน้ำดีจริง อันที่จริงหลายๆ คนก็มีนิ่วในถุงน้ำดี เพียงแต่ ถ้าไม่แสดงอาการอะไร ก็ปล่อยไว้เรื่อยๆ ก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน แต่ถ้ามีปัญหาอย่างที่ผมเป็นนี้ คือแสดงอาการต่างๆ เช่น ท้องอืด เฟ้อ ปวดบริเวณลิ้นปี่ (กระเพาะ) และมักมีอาการทันทีหลังทานอาหารมันๆ คลื่นไส้ ฯลฯ ก็ควรมาตรวจ เพราะบ่งบอกอาการของหลายโรค เช่นโรคกระเพาะ และถ้ารักษาเบื้องต้นไม่ได้ผล ก็ควรทำอัลตร้าซาวนด์ เพื่อเช็คถุงน้ำดี และช่องท้องส่วนบน หากไม่เจออะไรผิดปกติ ค่อยทำการส่องกล้องที่ช่องท้อง ตามลำดับ
ในเคสของผม คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัดนำถุงน้ำดีออก ถามว่าทำไมไม่ผ่าเอานิ่วออกอย่างเดียวล่ะ ก็เพราะว่า ถ้ามันแสดงอาการแล้ว ก็หมายความว่าถุงน้ำดีมีปัญหาแล้วล่ะ ถึงจะผ่าเอาแค่นิ่วออกไป ก็จะเกิดอาการเช่นนี้ได้อีกต่อไป การตัดถุงน้ำดีออกไป จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากถุงน้ำดีเป็นตัวพักน้ำดีที่ผลิตจากตับเพื่อไปย่อยไขมันในลำไส้
คุณหมอบอกว่า ช่วงแรกๆ ที่เอาถุงน้ำดีออกไปแล้ว อาจจะมีอาการท้องอืดเวลาทานอาหารมัน หรือบางรายก็มีอาการท้องเสีย ซึ่งก็เป็นปกติ เพราะไม่มีที่พักน้ำดี แต่ต่อไปท่อน้ำดี ที่เป็นตัวลำเลียงน้ำดี จะขยายตัวขึ้นและทำหน้าที่แทนถุงน้ำดีได้เอง แต่อย่างไรก็ควรเพลาๆ การทานอาหารมัน
ตกลงก็เลยต้องผ่าตัดอย่างที่คาดไว้แล้ว คุณหมอว่า ถ้าว่างเมื่อไหร่ ก็มาเอาออก ผมเลยบอกคุณหมอว่าขอกลับไปเคลียร์งานก่อนแล้วจะนัดวันผ่าตัดอีกที เสร็จจากการพบคุณหมอ ก็ไปสอบถามราคาที่ฝ่ายการเงิน เขาคิดคร่าวๆ ว่า แสนสาม!!! โอ้วว ทำไมมันแพงขนาดนี้ เดินออกมาบอกแม่ว่า ไม่ต้องผ่าละ ซื้อโรเล็กซ์ให้ดีกว่า เวลาปวดอีกก็เอานาฬิกามาลูบๆ บรรเทาปวดละกัน - 555 ล้อเล่นน่ะ ปวดขึ้นมาทีนี่รับไม่ได้เลยนะ
คืนนั้นก็เลยคิดแต่เรื่องผ่าตัด เครียดๆๆๆ พอเครียดมาก เพราะเกิดมาไม่เคยผ่าตัด ก็เลยปวดท้องขึ้นมาอีก แทนที่จะได้นอนพักผ่อน ก็เลยไม่ได้นอนกันเลย เรียกว่าคืนนั้น 3 in 1 เลยล่ะ
รุ่งขึ้นเข้าออฟฟิตก็เคลียร์งานโน่นนี่ หมดไปหนึ่งวัน วันพฤหัส ที่ออฟฟิตมีทำบุญออฟฟิต ขณะเดียวกัน ก็มาคิดว่า ถึงไม่ผ่าตัดอาทิตย์นี้ ก็ต้องเป็นอาทิตย์หน้าอยู่ดี แถมต้องทานแต่ข้าวต้ม โจ๊ก และยาไปเรื่อยๆ จนถึงอาทิตย์หน้า ไหนๆ ก็ไหนๆ อาหารวันทำบุญ เยอะแยะและน่าทานมากมาย เลยตัดสินใจว่า เสาร์นี้เลยละกัน และก็ได้ความว่า วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อจองห้อง เช็ค และเตรียมร่างกายตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง และให้งดน้ำงดอาหารตั้งแต่เที่ยงคืนวันศุกร์ต่อเช้าวันเสาร์เพื่อตรวจเลือดด้วย
วันพฤหัสที่ว่านั้น อดใจไม่ไหว เลยแอบหม่ำลูกชิ้นปิ้ง และหมูสะเต๊ะ ไปหลายไม้ ผลก็คืออาการเจ็บถุงน้ำดีกำเริบไปจนถึงวันศุกร์ ตอนเย็นก็ซ้ำเติมร่างกายด้วยข้าวต้มมื้ออำลาจากนิดหน่อย ส่วนคืนวันศุกร์ก็เป็นมื้ออำลาจากน้องบิ๊ก
และแล้ววันเสาร์ก็มาถึง...




ปล. ลองค้นในพจนานุกรมออนไลน์ เขามีศัพท์ 'การศัลยกรรมเอาถุงน้ำดีออก' เป็นภาษาอังกฤษว่า 'cholecystectomy'