31 December 2009

บ้ายบายปีวัว สวัสดีปีเสือ


ดีใจจังที่ปี 2009 กำลังจะจากไป เพราะรู้สึกว่าปีฉลู (ปีเกิดนะนั่น) ดูจะ 'เฮงซวย' ตั้งแต่เริ่มปี จนถึงปลายปี เรื่องใหญ่ที่สุดคงจะเป็นอาการกะเสาะกะแซะจากนิ่วในถุงน้ำดี จนต้องหามเข้าโรงพยาบาล และที่สุดก็ต้องผ่าตัดเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นการผ่าตัดครั้งแรกในชีวิตด้วยสิ
เรื่องแย่ถัดมาคือเลิกกับแฟนที่คบกันมา 3 ปี แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัวมาก่อน จู่ๆ ก็ได้เมล์มาบอกเลิกซะงั้น ก็โอเคครับ เพราะเคยบอกเขาว่าให้รักตัวเองมากๆ วันนี้เขาก็รักอนาคตตัวเอง แต่วันที่เลิกกันนี่สิ ตรงกับวันเกิดพอดี เป็นของขวัญวันเกิดที่คงจำได้ไปชั่วชีวิต ถึงตอนนี้ก็ยังคงเซ็งๆ
เรื่องต่อมาไม่รู้จะเรียกว่าดีหรือร้าย เพราะต้องเสียเพื่อนไปแบบงี่เง่า เป็นสงกรานต์ที่ดีและแย่พอๆ กัน เรื่องแย่ก็บอกแล้วว่าเสียเพื่อน แต่เรื่องดี ก็คือทำให้ได้รู้จักคนมากขึ้น
เรื่องแย่ๆ ล่าสุดเห็นจะเป็นเรื่องนาฬิกาหาย อันนี้เรื่องมันงี่เง่าอีกแล้ว เพราะเพื่อนซื้อนาฬิกาที่ชอบได้ในราคาพิเศษ เป็นนาฬิกาที่ทำเป็นสร้อยคอของ Coach เพื่อนแสนดีก็เอามาให้ลองถึงสนามเสือป่า งานดนตรีที่เพิ่งผ่านไป ก็บอกว่าเดี๋ยวเอาไปลองที่บ้าน ลองตรงนี้มองไม่เห็น กลับถึงบ้าน นาฬิกาที่ซ่อนไว้อย่างดีก็ร่วงไปเรียบร้อยตั้งแต่อยู่ที่สนามเสือป่า
นอกนั้นก็มีเรื่องบางเรื่องที่เล่าตรงนี้ไม่ได้ และอีกหลายเรื่องที่เป็นเรื่องที่มาให้เซ็งแบบเล็กๆ น้อยๆ แต่หงุดหงิดอารมณ์ ซึ่งจะมีมาให้เซ็งแบบนี้แทบทุกอาทิตย์ และแน่นอนว่ามีมาทุกเดือน คราวแรก ว่าจะจดเอาไว้ว่ามีอะไรบ้าง แต่ท่าจะเยอะมาก เลยไม่จดดีกว่า ปล่อยให้มันเลือนหายไปกับความทรงจำดีกว่า
ปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง คงเป็นอีกหนึ่งปีที่น่าจะดีขึ้นๆ อย่างน้อยก็ขอให้ไม่แย่ หรือเจ็บไข้ได้ป่วยเหมือนปีนี้ และขอให้คำอธิษฐานครั้งต่อไปนี้ไปถึงยังเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ญาติสนิทมิตรสหาย หรือแม้แต่ศัตรู หรือคนที่เกลียดผมก็ตาม มีมิตรดีกว่าศัตรูล่ะครับ
ลาทีปีเซ็งๆ
ขอให้ปีเสือ 2010 เป็นปีที่ดีที่สุดอีกปีของทุกๆ คน มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไปนะครับ :)

29 December 2009

อโหสิ ถ้าคิดได้

หลายวันก่อน ได้เห็นคนที่เกลียดเรา เขาทำตัวเองคล้ายกับที่ว่าเรา (แต่คงเนียนกว่า) จากที่เคยโมโหว่าทำไมต้องมาเกลียดกันขนาดนี้ ก็เลยรู้สึกสงสาร และรู้สึกเสียดายที่รู้จักกันมา แต่ก็ไม่รู้จักกันดีพอ ..แต่ถามว่าเกลียดเขาไหม ไม่นะ ไม่เกลียด เพราะเรื่องที่เกิดเป็นเรื่องไร้สาระเกินกว่าจะเกลียดกัน เคลียร์คือเคลียร์ จบคือจบ ไม่ใช่ต่อความเอาเองภายหลัง เพราะนั่นก็แสดงว่าไม่จบ!

รู้สึกน้อยใจมากกว่า ว่าทำไม ว่าเราได้ แต่ตัวเองก็ทำเสียเองล่ะ!

บางครั้งการจะพูดอะไร การอวดภูมิ หรืออวดตน ขอให้พิจารณาตนก่อนว่าดีดังพูดหรือเปล่า เข้าใจในสิ่งที่ตนพูดหรือไม่ มิฉะนั้น คำเหล่านั้นจะย้อนกลับมาทำลายตัวเอง - อโหสิให้บรรดามืออาชีพทั้งหลายครับ

และคงไม่เป็นฝ่ายเริ่มเข้าไปหาอีกแล้วครับ เพราะให้เกียรติกันไปเรียบร้อยแล้ว พูดกันแบบมืออาชีพแบบไทยๆ ผู้อาวุโสน้อยกว่า ย่อมต้องมีสัมมาคาราวะต่อผู้มีอาวุโสกว่า หรืออย่างน้อย ...มารยาททางสังคม

ย้ำอีกทีว่าไม่เคยเกลียด แต่มีโกรธบ้าง (ดังที่เขียนไปแล้วข้างต้น) และพร้อมให้คิดใหม่เสมอ ถ้าอ่านแล้วนึกขึ้นได้ มองคนรอบข้าง แล้วมองตนเอง ลดทิฐิ ลดความอวดตนลง ก็คุยกันได้เสมอ

แต่ถ้ายังเป็นมืออาชีพแต่ปาก ก็ขอเชิญอยู่ในโลกแห่งความสุขของคุณต่อไปเถิด ...เพราะผมก็เหนื่อยจะเคลียร์

05 December 2009

Long Live The Great King






" ทรงพระเจริญ "





.

03 December 2009

Bangkok Jazz Radio

ผมไม่รู้หรอกว่า เว็บไซต์นี้เปิดตัวมานานแค่ไหน และไม่รู้ว่าได้อัพเดตบ้างไหม หรือว่าเป็นเว็บตายไปแล้ว ฯลฯ ที่มาที่ไปที่ไปเปิดเจอเว็บนี้ เพราะนึกขึ้นได้ว่าเดือนนี้จะมีวงดนตรีที่ชอบวงหนึ่ง คือ Swing Out Sister มาเปิดคอนเสิร์ตเมืองไทย (วันที่ 19 ธันวาคมนี้ ที่สนามเสือป่า)
ลองเสิร์ชหารายละเอียดว่าพวกเขาจะมาวันไหน อะไร ยังไง ใครจัด ราคาบัตร และรูปแบบงาน ก็เลยลองพิมพ์ไปเรื่อย ใช้คีย์เวิร์ดอะไรบ้างจำไม่ได้ละ รู้แต่มี 'สนามเสือป่า' แน่นอน
ก็เลยกระเด็นมาที่เว็บ Bangkok Jazz Festival http://www.bangkokjazzfestival.com/ ซึ่งก็คืองานดนตรีแจ๊สที่มีเบียร์ยี่ห้อนั้นแหละ เป็นหัวเรือใหญ่ จัดมาหลายงานที่เราท่านรู้จักกันดี ผมเองเคยมีโอกาสไปชมดนตรีแจ๊สที่สนามเสือป่าปีแรก ชอบมาก บรรยากาศเหมือนไปปิ๊กนิกฟังดนตรี ต่างหอบอาหาร ไวน์ เบียร์ ไปฟังดนตรี ท่ามกลางอากาศเย็นสบาย
เขียนมาตั้งนาน ก็แค่จะบอกว่า พอเปิดเว็บไซต์นี้ขึ้นมา ก็จะตามมาด้วยเสียงดนตรีแจ๊สเพราะๆ ทีแรกก็นึกว่าเป็นแค่คลิปเสียงแบล็คกราวน์ของเว็บไซต์นี้เท่านั้น ...ดูดีๆ ก็ไม่สิ... ขวามือบนของเว็บไซต์เขามีกรอบๆ หนึ่ง เป็น Bangkok Jazz Radio กันเลยทีเดียว หลายท่านอาจะเคยฟัง หรือฟังจนเบื่อจนเลิกฟังแล้ว แต่สำหรับผม เพิ่งพบเว็บนี้ และเพิ่งจะปลื้มมมมม! เพลงแจ๊สดีๆ ของวิทยุบางกอกแจ๊สนี้มากมาย แถมไม่มีโฆษณาขั้นให้สะดุดหู
รับรองว่าหาไม่ได้ตามคลื่นวิทยุเมืองไทยแน่นอน ปกติก็ต้องไปหาตามวิทยุอินเตอร์เน็ต ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่สำคัญที่สุดคือเวลาเป็นวิทยุต่างประเทศ เน็ตก็ควรแรง ไม่งั้นก็ดับๆ ติดๆ - พอมาฟังวิทยุบางกอกแจ๊ส ก็แทบจะไม่ต้องรอโหลด เพราะมาให้ฟังทันที เข้าใจว่าเขาเปิดเพลงเป็น playlist แต่จะเป็นเพลงวนหรืออะไรก็ตามเหอะ การที่มีเพลงดีๆ ให้ฟังกันง่ายๆ แบบนี้ รู้สึกดีจัง จะได้ไม่ต้องฟังแต่เค-ป๊อป แพทเทิร์นเดียวเหมือนทุกวันนี้
ต้องขอบคุณเบียร์ไฮเนเก้น ที่สร้างสรรค์อะไรเจริญหูให้ฟังกัน (รวมทั้งท่านผู้มีส่วนในการสร้างสรรค์ BJRท่านอื่นๆ ด้วยครับ)
แล้วก็ให้คิดถึงคุณแสงชัย สุนทรวัฒน์ อดีตผู้อำนวยการองค์การสื่อสารมวลชน ผู้ล่วงลับ ที่เป็นผู้บุกเบิกให้มีคลื่นวิทยุดนตรีคลาสสิกเป็นครั้งแรก รวมทั้งรายการทีวี (ช่อง 9) ดีๆ หลายๆ รายการ ไม่ใช่กลับไปเป็นโมเดิร์นไนน์ ทีวีช่องที่กำลังบ้าบอไปเรื่อยๆ (รู้สึกเคืองที่เอารายการ 'ตาสว่าง' ออกไป แล้วเอารายการ seed อะไรสักอย่าง ดูชื่อรายการก็รู้แล้วว่าเป็นรายการวัยรุ่นทั่วไปรายการหนึ่ง

บอกหลายครั้งแล้วว่า รสนิยมดีๆ มันซื้อหากันไม่ได้จริงๆ

01 December 2009

Omotesando Illumination 2009

หัวค่ำที่ผ่านมา มีพิธีเปิดไฟถนนโอโมเตซางโดะ อย่างเป็นทางการ ชื่อ Omotesando Illumination Bell Symphony ประดับไฟ LED (หลอดประหยัดไฟ) กว่า 300,000 ดวง ตั้งแต่ศาลเจ้าเมอิจิ จิงกุ ไปจนถึงถนนอาโอยามะ รวมความยาวกว่า 1 กิโลเมตร ปกติถนนแถวนั้นก็สว่าง และสวยอยู่แล้ว (เคยไปเมื่อคืนวันที่ 30 ธันวาคม แม้จะเงียบฉี่ และโอโมเตซางโดะฮิลล์จะยังไม่เปิด) ก็สว่างไสว และดูโรแมนติก ตอนนี้คงไม่ค่อยโรแมนติก เพราะคนไปเที่ยวคงมหาศาล!
ตามข่าวว่า เป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี ที่ถนนสายนี้จะสว่างไสวไปด้วยไฟประดับถนน นอกจากจะมีหลอดประหยัดไฟ ก็ยังมีระฆังประดับประดา พร้อมด้วยดนตรีพิเศษสำหรับเทศกาลความสุข ที่จะเริ่มส่องสว่างตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม ไปจนถึง 10 มกราคม (ก็พอดีช้อปปิ้งของเซลล์กันต่อเลย) ใครผ่านไปแถวโตเกียว อย่ามัวแต่ช้อปปิ้ง แวะไปดูเทศกาลน่ารักๆ แบบนี้กันดีกว่า
ดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ (ภาษาญี่ปุ่นครับ ซอรี่) http://www.omotesando.or.jp/bellsymphony/
ไหนๆ ก็ไหนๆ ถ้าจำกันได้ ตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ที่เมืองโกเบ เขาก็ได้จัดให้มีงานแสดงดวงไฟ Kobe Luminarie เป็นประจำมาจนถึงวันนี้ และถือว่าเป็นเทศกาลดวงไฟ ที่สวย และยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ปีนี้ก็เช่นกันครับ เริ่มส่องสว่างกันตั้งแต่วันที่ 3 - 14 ธันวาคมนี้เท่านั้น งานที่โกเบ จัดไม่นาน แต่เน้นๆ เต็มๆ

เว็บไซต์ที่ผมเคยเขียนถึงเทศกาลนี้ http://veraphol.spaces.live.com/blog/cns!9F19219C7E9C3CC3!2898.entry

เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ http://www.kobe-luminarie.jp/


สำหรับผม งานหลัง ดูจะมีความพิเศษมากสำหรับผมที่เดียวครับ เห็นทุกครั้ง ก็ทั้งมีความสุข และเศร้าเคล้ากันไป ถึงตอนนี้ก็ยังไม่ลืมภาพวันเก่า และเรื่องราวดีๆ ก็เหมือนกับแสงไฟของโกเบ อิลลูมิเนชั่น แต่ละดวงที่เปรียบเสมือนวิญญาณของผู้เสียชีวิตในแผ่นดินไหว และความทรงจำ ณ ที่แห่งนั้น

ที่จะคงอยู่ตลอดไป...

19 November 2009

ความรักของพ่อ

ไม่ได้อัพเดตมาหลายเพลา วันนี้อดใจไม่ได้เลยรีบรื้อค้นแล้วโพสต์ก่อนจะลืมและขี้เกียจโพสต์

หลายท่านคงเคยชมแล้วบนรถไฟฟ้าบีทีเอส ผมก็เคยชมหลายครั้ง แต่ก็ผ่านๆ ไป ไม่ได้ตั้งใจชม จนเมื่อครู่ระหว่างทางกลับบ้าน ก็ได้ฟังอย่างตั้งใจพอควร (แต่ไม่ได้ดู) กลับสะดุดหู และรู้สึกว่า จะเพราะกว่าเพลงที่แต่งเพื่อเทิดทูน 'พ่อ' และ 'พ่อหลวง' ที่เคยฟังมา ..จริงๆ หลายๆ เพลงที่ผ่านมาก็เพราะนะครับ แต่เพลงนี้เพราะจริงๆ

เพราะเนื้อความไม่ได้เทิดทูนเฉพาะพ่อหลวงของชาวไทย ทว่าคือ 'พ่อ' ของทุกๆ คนครับ

ชมและฟังแล้ว คงรัก 'พ่อ' กันมากขึ้น ไม่ทำตัวเป็นลูกมีปัญหาที่บอกว่ารักพ่อ แต่ก็ช่วยกันทำให้พ่อไม่สบายกายและใจเช่นทุกวันนี้ครับ ซ้ำร้าย ยังไม่เห็นมีใคร หรือลูกคนไหนหยุดที่จะอ้าง 'พ่อ' และคำพ่อ มาทะเลาะเบาะแว้งกัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม


เพลง 'ความรักของพ่อ' เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ 'คนไทยหัวใจภักดี' http://www.khonthaihuajaipakdee.com/ โดยวง SmallRoom นอกจากนี้ ยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่จะจัดขึ้นในช่วงนี้ ไปจนถึงวันที่ 5 ธันวาคม ตามอ่านรายละเอียดกิจกรรมโครงการ และดาวน์โหลดเพลงความรักของพ่อได้ในเว็บไซด์ข้างต้น



เพลง ความรักของพ่อ

ศิลปิน SmallRoom


ตอนเล็ก ๆ เคยสงสัย ว่าทำไม พ่อยอมอดทนทุกอย่าง
ต้องเหนื่อยกว่าใครในบ้าน

เดินจูงมือ คอยสั่งสอน เป็นดวงดาวที่ส่องนำทางให้เรา
จะสุขจะทุกข์เคียงข้าง

* ยังจำครั้งหนึ่งเคยถาม ถ้อยคำที่ตอบ หนึ่งคำชัดเจนทุกอย่าง
นั่นคือคำว่ารัก

** เพราะว่ารัก จึงทำได้ทุกอย่าง ไม่คิดว่ามันลำบาก
แค่นี้ก็ยังไม่อาจเทียบเศษหนึ่งของพ่อหลวง
ที่ทรงห่วงชาวไทย เป็นหมื่นเป็นล้าน
แค่เพียงให้เรามีสุข นี่คือความรักของพ่อ

ทำให้รู้ ทำให้เห็น ถ้าลูกคิดจะเป็นผู้นำครอบครัว ทุกอย่างให้ดูท่านไว้
มีทุกข์ร้าย เรื่องรุมเร้า มรสุมกระหน่ำครอบครัวของเรา
ท่านยืนอยู่เป็นร่มเงา

(ซ้ำ *, **)

เพราะว่ารัก จึงทำได้ทุกอย่าง ไม่คิดว่ามันลำบาก
แค่นี้ก็ยังไม่อาจเทียบเศษหนึ่งของพ่อหลวง
ที่ทรงห่วงชาวไทย เป็นหมื่นเป็นล้าน
แค่เพียงให้เรามีสุข ยิ่งทำให้ลูกมีสุขแค่ไหน
ใจท่านก็เป็นสุข นี่คือความรักของพ่อ

29 October 2009

Life after BB


บอกกับใครต่อใครว่า ไม่คิดใช้ Blackberry ด้วยความที่ไม่ชอบของใหญ่ (หมายถึงโทรศัพท์มือถือน่ะ) ที่สำคัญ 'รุงรัง' คือเต็มไปด้วยสารพัดปุ่ม น่าเวียนหัว อันที่อยากใช้จริงๆ คือ iPhone ดูน่าจะเหมาะกับไลฟ์สไตล์ของผมมากกว่า คือเล่นเกม มัลติมีเดีย และโทรศัพท์ แม้จะใหญ่ แต่ก็บาง (ว่าไปนั่น)
ที่ใช้เป็นประจำก็คือ Nokia เปลี่ยนไปใช้อะไรต่อมิอะไร สุดท้ายก็ต้องมาจบที่โนเกียเจ้าเก่า คิดไปเองว่าคงเพราะเราชินกับความง่ายของมัน และมันก็ดันทำขึ้นมาให้ใช้ง่าย เลยทำอะไรก็ง่ายและชินไปหมด อย่างพิมพ์ข้อความยาวๆ ใน facebook เป็นต้น จนทำให้หลายคนงงว่า ทำไมพิมพ์ข้อความได้เร็ว และอัพเฟสบุ๊คบ่อยขนาดนั้น? ไม่ได้ใช้ bb แน่นะ?
คืองี้ครับ ผมสมัครแพ็กเกจเอาไว้ คือ 150 บาท ได้ sms 300 ข้อความ mms 30 ข้อความ และ gprs 30 ชั่วโมง ก็เหลือเฟือกับการเล่น fb อย่างเมามันในแต่ละเดือน และการจิ้มกดอักษรจากปุ่ม ก็ทำมาตั้งแต่การส่ง sms และจัดการข้อมูลต่างๆ ในชีวิตประจำวันลงในมือถือ ก็เลยทำให้พิมพ์มาก จนชิน ก็แค่นั้น!! ชีวิตผมก็เลยไม่ต้องง้อ bb
วันหนึ่ง ได้รับความกรุณาจากโนเกีย เป็น 5530 XpressMusic มาแทนของเดิม N79 ที่ใช้และรักมากจนหน้าจอแตกยับเยิน พอมาใช้ทัชสกรีนของโนเกียก็เลิฟเลย เพียงหน้าจอมันเล็กไปหน่อยสำหรับการเป็นมือถือระบบสัมผัส เพราะมันทำให้ไอค่อนเล็กตามไปด้วย จิ้มไม่ค่อยถนัด ต้องใช้สไตลัสจิ้มเสียเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็เลิฟนะ จิ้มแล้วแม่น กดแล้วถูก อะไรต่างๆ ดูสมูทไปหมด ไม่เหมือนตอนที่เคยใช้มือถือปราด้า กะอีกยี่ห้อหนึ่ง หงุดหงิดรมณ์เสีย เวลาจะรีบโทร
ใช้ 5530 XpressMusic มาเพลินๆ สักพัก เจ้านายของผมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดว่าทำไมไอ้นี่ยังจิ้มๆ หน้าจออยู่ได้ เดี๋ยวนี้เขาใช้ bb กันแล้วนะ ไอ้เราก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ในใจก็คิดโน่นนี่ไปตามประสา
แล้วสายวันหนึ่ง เจ้านายก็โทรเข้า 5530 XM เครื่องโปรด (และกำลังชินกับระบบสัมผัส) บอกว่าให้เปลี่ยนโปรมือถือโดยเร็ว "เอ๊ะ! อะไร!" อีกสักพักนายก็เข้ามาที่ออฟฟิต แล้วก็ยื่น bb Bold มาให้ นัยว่าเป็นของขวัญวันเกิดละกัน ขอบพระคุณมากครับ :)
ได้ bb Bold มาแล้วก็ยังไงล่ะ !?!?
ผมว่าชีวิตผมเปลี่ยนไปหลายๆ อย่าง บอกไม่ถูกว่าดีขึ้นหรือแย่ลง แต่คิดว่าก็คงดี เพราะประการแรกที่เห็นได้ชัดคือ เชิ่ดได้ เพราะมี bb เป็นใบเบิกทางความเก๋เท่ไม่ซ้ำแบบใคร (แต่ซ้ำกับทุกคนที่อยู่รอบตัว) จนมีคำพูดที่ว่า เดี๋ยวนี้เวลาจะจีบกัน เขาไม่ขอเบอร์โทรศัพท์แล้ว แต่จะขอ pin แทน ข้อต่อมา คือทำให้ผมเข้าใจชีวิตของสังคมเมืองใหญ่ๆ ที่ต่างคนต่างอยู่ ต่างไม่คุยกัน เอาแต่พิมพ์ๆๆๆๆ และก็พิมพ์ อาทิ เมืองโตเกียว
และก็ไอ้เรื่องพิมพ์นี่แหละ ปัญหาใหญ่ของชีวิต ทุกคนบอกว่าพิมพ์อักษรง่ายกว่าแบบปุ้มตัวเลขนัก สำหรับผมแล้วไม่เลย ต้องมานับหนึ่งใหม่ หลายคนบอกว่า มันก็เรียงตามแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ แต่สำหรับคนไม่ได้เรียนพิมพ์ดีดมามันก็ไม่ง่ายนะ เวลาจิ้มก็ต้องมองดูแป้นว่าตรงปุ้มหรือยัง นิ้วก็ใหญ่ กดทีนึงมักได้อักษรสองตัว คือแถมตัวข้างๆ มาให้ตลอด ป่านนี้แล้ว ครึ่งเดือน ก็ยังจิ้มผิดจิ้มถูก แต่เริ่มจิ้มได้เร็วขึ้น เพราะพยายามแชตบ่อยๆ แต่ก็ยังตะหงิดๆ อยู่ดีนะ
ข้อดีของความเป็น bb และเป็นจุดขายของเขามาตั้งแต่เริ่มแรกก็คือ push mail คือผูกเมล์งานออฟฟิตเข้ามาในมือถือเลย ก็จะรับ/ส่งอีเมล์ได้อย่างรวดเร็วและตลอดเวลา Blackberry Messenger หรือ bbm ก็เอาไว้เพื่อให้ติดต่อกันภายในองค์กรได้สะดวกขึ้น ดังนั้นสำหรับการทำงาน ที่เดี๋ยวนี้เริ่มติดต่อส่งอีเมล์กันมากขึ้น ก็เลยสะดวกในการทำงานข้างนอก เพราะเช็คเมล์ได้ทันที หรือจะคุยหรือฝากธุระให้ที่ออฟฟิต ก็ส่งข้อความผ่าน bbm ได้เลย
ทว่า... ปัจจุบันมีคนนำฟังก์ชั่นอีเมล์ และ bbm มาดัดแปลงใช้กับชีวิตในยุคแห่งการสื่อสารไร้สาย โดยผูกการแจ้งเตือนกับ fb เข้ากับ bb ทำให้อัพเดต fb ได้ตลอดเวลาและง่ายขึ้น (นิดนึง ในฐานะคนที่ใช้โนเกียมาก่อน) bbm ก็เอามาใช้แทน msn ติดต่อเพื่อนๆ ในลิสต์ได้ง่ายขึ้น (แต่ bbm เวอร์ชั่น 5 ก็ทำให้ติดต่อกันได้ยากขึ้นละ เพราะดีเลย์ตลอด) ทั้งทื่ใน bb ก็มี msn มาให้เช่นกัน กลายเป็นว่าทุกช่องทางการสื่อสารบนอินเตอร์เน็ตถูกยกมาไว้บน bb ก็เลยโดนใจวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ที่มีสังคมออนไลน์เป็นชีวิตที่สอง ชีวิตเราก็เลยจะห่างกันมากขึ้น แต่ก็ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น (รวมทั้งรู้จักคนแปลกหน้าได้ง่ายขึ้นด้วย)
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ การแชต หรืออัพเดต fb บน bb ทำให้ได้เห็นพฤติกรรมแปลกๆ อย่างเวลาไปเที่ยวกลางคืน ก็จะเห็นภาพคนกำลังเต้น ควบคู่ไปกับคนกำลังแชต bb (บางคนก็เต้นไปด้วย) อย่างเมามัน และ/หรือ กำลังถ่ายรูปเพื่ออัพโหลตจาก bb สู่ fb หรือแม้แต่ตอนทานข้าว ก็จะคุยกันน้อยลง และเม้าท์คนโน้นนี้ผ่าน bbm แทน
มาคิดดู เสียค่า gprs unlimited สำหรับ bb เดือนละ 650 บาท ไม่รวมค่าโทร + non voice + VAT และอื่นๆ เพียงเพื่อให้ออนไลน์ได้ตลอดเวลา เพื่อเอามาแชต เอามาเล่น fb โดยเฉพาะวัยนักเรียน นักศึกษา เขาไม่ได้เอามาติดต่องานผ่านอีเมล์แน่นอน ก็เลยคิดว่า มันดูจะไร้สาระไปมั้ย? ผมก็ว่า ผมกำลังไร้สาระกับ bb เข้าแล้ว...
แต่การใช้ bb ก็ทำให้ได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่า อีกไม่ช้าไม่นาน การสื่อสารไร้สายจะยิ่งจำเป็นต่อชีวิตคนเรามากขึ้น โดยเฉพาะคนเมือง ดูง่ายๆ ก็คือเดี๋ยวนี้โทรศัพท์มือถือพัฒนาให้ใช้งานมัลติมีเดียได้มากและง่ายขึ้น จนกลายเป็นคอมพิวเตอร์พกพาเครื่องย่อมๆ ไปแล้ว การเชื่อมต่อเน็ตไร้สาย จึงจะยิ่งจำเป็นต่อการใช้โทรศัพท์มือถือมากขึ้น โดยไม่ได้บอกว่ามันจำเป็นต่อการใช้งานของเราท่านหรือไม่
ผลก็คืออนาคตค่าเน็ตไร้สายก็จะถูกลงและไวขึ้น ...จะสงสารก็แต่บ้านเราที่ 3G จะยังไม่มีโอกาสได้ใช้ในเร็วๆ นี้ ทั้งที่ตอนนี้ โลกเรากำลังเริ่มมองไปที่ 4G กันแล้ว
ที่แน่ๆ ก็จะยิ่งทำให้เห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของประชากรมากขึ้นๆ จนกลายเป็นเรื่องปกติไปในที่สุด
สรุป การใช้ bb ก็เหมือนกับการใช้ iPod ฟังเพลง ถามว่ายี่ห้ออื่นฟังก์ชั่นเลิศกว่ามั้ย ก็เลิศกว่า แต่คนก็ใช้ iPod เพราะเก๋ ดังนั้นหากตัด bb ออกจากชีวิต ผมก็อยู่เย็นเป็นสุขเหมือนเดิม เพราะเอาเข้าจริงมือถือเครื่องอื่นๆ ก็ทำอะไรๆ ที่ bb ทำได้เช่นกัน (แถมบางทีจะดีกว่าด้วยซ้ำ) ...แต่ก็ไม่ได้แย่ถ้าจะใช้ bb เช่นกัน (เพราะผมก็ใช้ iPod) เพราะตอนนี้มันเก๋ เหมือนมีจตุคาม :)

12 August 2009

สุขสันต์วันแม่

วันที่ผมแอดมิตฉุกเฉินด้วยอาการปวดถุงน้ำดีอย่างหนัก คุณแม่ และคุณพ่อ ก็พุ่งออกจากบ้านมาโรงพยาบาลทันที แม้ตอนนั้นจะเป็นเวลาสี่ห้าทุ่มแล้วก็ตาม
เห็นอาการปวดท้องของผม คนที่แสดงออกมากที่สุดแน่นอนว่าคือคุณแม่ ส่วนคุณพ่อก็ตามสไตล์คุณพ่อ ก็คือไม่ค่อยแสดงออกนัก แต่รู้ได้ด้วยการกระทำของพ่อเสมอ
โตแล้ว ก็ไม่ค่อยได้จับมือแม่ตอนเดินเล่น แต่ตอนที่ปวดท้องทรมานแบบว่าทนไม่ไหวแล้ว แม่ยื่นมือมาใกล้ให้จับ สัมผัสจากมือแม่ตอนนั้น รู้สึกได้ทันทีถึงความเป็นห่วง และรู้สึกได้ว่าแม่ทรมานไม่แพ้ลูก เป็นมือที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่ได้สัมผัสมา แม้มือแม่ตอนนี้อาจจะไม่ตึงเหมือนตอนผมยังเด็ก แต่ความอบอุ่นยังมากมายเช่นเดิม อาจจะเป็นเพราะผมชอบจับมือควงแขนแม่มาตั้งแต่เด็กจนถึงมัธยม จนคนที่เขินที่จะควงด้วยน่ะ คุณแม่ผมเอง นั่นทำให้ผมจำความรู้สึกที่เคยจับมือแม่เมื่อครั้นยังเด็กได้ดี
วันที่ผมเข้าผ่าตัด ยิ่งเห็นถึงความห่วงใยของแม่ เพราะวันนั้น แม่ที่เป็นความดันอยู่แล้ว วันนั้นความดันสูงขึ้นกว่าปกติมากจนเวียนหัว กว่าความดันจะลงสู่ระดับปกติ ก็คือวันที่ผมออกจากโรงพยาบาล
คนที่รอผมตั้งแต่เริ่มเข้าห้องผ่าตัด รอจนกระทั่งผมออกมาจากห้องผ่าตัด ก็คือคุณแม่ คุณแม่เดินตามไปส่งผมเข้าห้องผ่าตัด ลูบหัวไปตลอดทาง ตอนนั้นผมไม่ค่อยรู้เรื่อง ภายหลังน้าสาวที่ตามมาด้วยกับแม่ เล่าว่าแม่ร้องไห้ไปตลอดทางที่ส่งผมเข้าห้องผ่าตัด ทั้งที่รู้ว่าผ่าตัดนี้ไม่ได้อันตรายเลย
ที่จำได้ชัดคือตอนออกจากห้องผ่าตัด คนแรกที่เข้ามาหาผม เข้ามาลูบหัวผมก็คือคุณแม่ และเป็นอีกครั้งที่ได้จับมือคุณแม่ แม่พูดซ้ำไปมาว่าเพียงว่า "เป็นยังไงบ้าง เจ็บมั้ย" น้ำตาแม่ก็ไหลออกมา
แม่ลูบหัว สัมผัสจากมือแม่ เหมือนได้กลับไปเป็นเด็ก ได้หวนระลึกถึงความรักของแม่ ที่มีต่อลูก ความรักแบบที่มีแต่การให้ และให้ตลอดไป
อาจเป็นเรื่องธรรมดาในวันหนึ่ง แต่เป็นเวลาที่พิเศษสุดๆ สำหรับผม ที่ได้สัมผัสถึงความห่วงใยอันยิ่งใหญ่ของ แม่ อีกครั้ง

10 August 2009

ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 4 - จบ)


นิดหน่อยส่งดอกไม้มาเยี่ยม
คุณหมอ ณรงค์ แพทย์เจ้าของไข้ และ แพทย์ผู้ผ่าตัดบอกผมเมื่อวันที่ไปตัดไหม (8 สิงหาคม - เพราะหลังวันผ่าตัดไม่ได้เจอคุณหมอเลย แต่หลังผ่าตัด คุณหมอได้เจอคุณแม่และแจ้งให้ทราบแล้ว) ว่า "รู้ไหม เคสคุณทำเอาผมเกือบแย่!" ขนาดนั้นเลย?
"คือมันอักเสบมากแล้วน่ะ" คุณหมอบอก ...อันที่จริง บอกมากกว่านี้ แต่ขอไม่เล่ารายละเอียด เพราะเล่าแล้วคนเข้ามาอ่านคงรับไม่ได้ ผมฟังแล้วยัง หูผึ่ง ตาโพลง จริงหรอคุณหมอ!? บอกได้นิ่งในถุงน้ำดีของผมเป็นมานานแล้ว จนผนังถุงน้ำดีหนาขึ้นมาก บ่งบอกอาการอักเสบได้ระดับหนึ่ง นี่ผมทนมาได้นานขนาดนี้เลยหรอ
อ่านเจอในบันทึกของตัวเองว่า คืนผ่าตัดเสร็จรู้สึกเจ็บตลอดที่แผลเจาะท้อง 4 รู โดยเฉพาะที่สะดือ 4 รูที่ว่า คือใต้สะดือ หน้าท้องขวา ลิ้นปี่ และชายโครงขวา เพราะผ่าตัดแบบใช้กล้องส่อง ตรงสะดือรูใหญ่กว่าใคร เพราะเป็นที่ต้อท่อสำหรับดึงเอาชิ้นเนื้อออกมา สามรูที่เหลือเอาไว้สอดเครื่องมือผ่าตัด ปวดหน่วงๆ และระคายที่สะบักขวา แต่ตรงที่ตัดเอาถุงน้ำดีออกข้างในร่างกลับไม่ค่อยรู้สึก

ถ่ายจากระเบียงโรงพยาบาล ซ้ายคือพระบรมมหาราชวัง ขวาวัดอรุญฯ
การผ่าตัดแบบสอดกล้อง เป็นที่นิยมใช้ในการผ่าตัดปัจจุบันมาก เพราะแผลเล็ก จึงลดการพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลได้กว่าครึ่งหนึ่งของการผ่าตัดเปิดช่องท้องแบบเดิม ที่แผลยาว และต้องพักฟื้นทั้งที่โรงพยาบาล และที่บ้านนานเป็นเดือน อย่างของผม ผ่าตัดเย็นวันเสาร์ วันจันทร์ก็เดินปร่อ พร้อมกลับบ้านแล้วว่างั้น
คืนนั้นหลับๆ ตื่นๆ เพราะพยาบาลเข้ามาตรวจอาการตลอด ถามว่าปัสสาวะหรือยัง ก็บอกว่ายัง แต่สักพักก็ปวดปัสสาวะ ลุกขึ้นไปห้องน้ำอย่างทุลักทุเล ทั้งปวดแผล เพราะลุกขึ้นไม่ถูกท่า ไหนจะมีสายน้ำเกลือ และยังคอแห้งเพราะฤทธิ์ยานอนหลับ
พยาบาลแนะนำวันรุ่งขึ้นถึงวิธีการลุกนั่ง และยืน ว่าให้ลุกขึ้นนั่งโดยหันข้าง อีกมือหนึ่งประคองแผลเพื่อลดแรงกระเทือน ก็ได้ผล ลดอาการปวดได้เยอะเลย เดินไปทำธุระในห้องน้ำได้สะบาย
ถ่ายรูปตอนดึก จุดเดิม วิวเดิม
คุณหมอแนะนำว่าหลังผ่าตัดแบบนี้ ควรเดินให้มากๆ เพราะเวลาผ่าตัดต้องอัดแก๊สเข้าช่องท้องเพื่อง่ายต่อการผ่าตัด ทำให้ยังมีลมค้างอยู่ในช่องท้อง ก็อาจจะปวดท้อง ปวดไหล่ได้ แล้วแต่กรณี การเดินบ่อยๆ จึงจะช่วยไล่ลมที่อยู่ในช่องท้องได้เป็นอย่างดี
เช้าวันรุ่งขึ้นเจ็บแผลผ่าตัด คงเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดหายไปแล้ว แต่ก็ไม่หนักหนา ลุกเดินได้ร่าเริง บ่ายๆ น้ำเกลือหมด เขาก็เอาเข็มออก เย้ๆๆ ได้อาบน้ำได้อะไรโน่นนี่ได้เองแล้ว คราวนี้ก็เดินว่อน ขึ้นลงตึกพักผู้ป่วย (มีเซเว่นอีเลเว่นอยู่ข้างล่าง)
และก็มีช่อดอกไม้จากนิดหน่อย ประดับห้องให้สดใส ผ่าตัดนี้ไม่ค่อยได้ให้ใครมาเยี่ยม เพราะคิดว่าอยู่ไม่นาน คราวแรกคิดว่าวันจันทร์ก็คงออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ก็เลยบอกทุกคนว่าไม่ต้องมาหรอก เดี๋ยวก็ออกแล้ว ครั้นจะให้ไปเยี่ยมที่บ้าน คงออกมาเปิดประตูไม่ได้นำ อยู่พักฟื้นที่บ้านคนเดียว และประตูบ้านหนักมาก ยกประตูเปิดไม่ได้
แต่เอาเข้าจริง วันจันทร์คุณหมอไม่มา ก็เลยต้องอยู่ต่ออีกคืน โหย เซ็งมาก การอยู่โรงพยาบาลนี่มันน่าเบื่อจริงๆ เพราะจะเดินออกไปซื้อของกิน เดินเล่นนอกโรงพยาบาลก็ไม่ได้ ห้องก็เล็กๆ เดิมๆ มิน่าล่ะ ใครๆ ก็อยากออกจากโรงพยาบาลเร็วๆ
ปิดท้ายด้วย คำขอบคุณครับ ที่โทรมาหา เอาของมาเยี่ยม โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ที่อยู่ไม่ห่างเลย จุ๊บ จุ๊บ จริงๆ แค่ได้รับ sms หรือข้อความใน msn หรือ facebook ก็ดีใจมากแล้ว
ขอบคุณทุกคนมากครับ :)

08 August 2009

ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 3)

ขอย้อนกลับไปตอนอยู่ห้องรอผ่าตัด เจ้าหน้าที่ห้องรอผ่าตัดก็เขามาทักทายอย่างอารมณ์ดี ไอ้เราก็ช่างเม้าท์ เลยชวนเขาคุยเสียงั้น จนเขาพูดขึ้นมาว่า "ได้ยาแก้ปวดไม่รู้สึกมึนๆ ง่วงๆ บ้างหรอคะ" จะบอกให้หุบปากก็พูดมาเหอะ!
หลังจากสิ้นสติไปตอนไหนก็ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกที เหมือนในภาพยนตร์เวลาคนโดนตีหัวสลบแล้วตัดภาพมาเป็นห้องอะไรสักอย่าง ที่ไหนกันเนี่ยะ? ตกลงได้ผ่าตัดแล้วหรอ? แล้วอะไร ยังไง??? คำถามเกิดขึ้นมากมาย เพราะก่อนหลับ ห้องสว่างมาก มาอยู่ห้องนี้ทำไมทึมๆ มืดๆ ล่ะ เจ้าหน้าที่แพทย์หันมาเห็นว่าไอ้นี่กำลังฟื้น ก็มาถามสารทุกข์ ว่าตื่นแล้วหรอ เนี่ยะญาติมาถามถึงตั้งนานแล้ว เดี๋ยวรีบออกไปกัน
ได้สติมาก็รู้สึกเวียนๆ นิดหน่อย เป็นผลมาจากยาสลบ เวลาพูดก็พูดลิ้นแข็งๆ เหมือนคนเมา แต่ก็ช่างเม้าท์แม้จะพูดลำบาก ก็เจอหน้าแม่และน้าสาวที่มารอหน้าห้อง แม่ก็ร้องไห้ เหมือนกับว่านึกว่าตายไปแล้ว ได้ความทีหลังว่า หลังจากที่คุณหมอออกมาจากห้องผ่าตัดแล้ว เจ้าหน้าที่แพทย์ที่ตามมา บอกแม่เหมือนว่าคนไข้ไม่ได้สติอะไรทำนองนั้น แม่ก็เข้าใจไปว่าลูกกรูแย่แล้ว ขณะที่เจ้าตัวก็หลับปุ๋ย จากคำบอกเล่า ใช้เวลาผ่าตัดราว 40 - 50 นาที แต่ผมมาตื่นเอาตอนทุ่มครึ่ง เบ็ดเสร็จก็หลับต่อไป สอง - สาม ชั่วโมง ขี้เซาจริงๆ
ฤทธิ์ยาสลบทำให้คอแห้งเป็นอันมาก อย่างแรกที่ร้องขอก็คือน้ำ จากนั้นก็เริ่มรู้สึกเหมือนท้องว่าง ก็แน่ล่ะ ตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 2 ทุ่ม หม่ำแค่โจ๊กชามเดียว ไม่หิวก็แย่ละ แผลเผลอไม่สนใจใดๆ ว่าจะเจ็บไม่เจ็บ รู้แค่หิว หิว และหิว เข้าไปพักฟื้นที่ห้องสักครู่ พยาบาลก็นำน้ำมาให้ดื่ม และอาหารเหลว ประกอบด้วย น้ำข้าวต้ม ซุบใสอะไรสักอย่าง น้ำขิงผง น้ำเก็กฮวยผง และน้ำมะตูมผง
แหกปากร้องหิวข้าว แต่พอลุกขึ้นมานั่งจริงๆ ก็เริ่มปวดแผลเล็กๆ แต่หนักที่สุดเห็นจะเป็นอาการมึนยาสลบ ทำให้เริ่มไม่อยากจะดื่มอาหารเหลวที่จัดมา แต่ก็ฝืนดื่มน้ำข้าวต้ม และซุปใสอย่างละครึ่ง น้ำขิง และน้ำเก็กฮวย แล้วก็ล้มตัวลงนอนต่อไปแบบมึนๆ ...
ของฝากจากถุงน้ำดี กึ๋ย!!

ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 2)

เช้าวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม เดินทางไปถึงโรงพยาบาลเกือบ 8 โมง เพราะต้องตรวจร่างกายก่อนผ่าตัดตามเวลาที่คุณหมอนัดไว้คือบ่าย 3
เดินเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่พ้องพักเพื่อเช็คอิน แล้วออกมาที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสตรงข้ามประตูจองห้องพัก เพื่อเซ็นเอกสารสำหรับผ่าตัด จากนั้นพยาบาลจึงพาไปเอ็กซ์เรย์ปอด รอเอ็กซ์เรย์นานทีเดียว แต่เอ็กซ์เรย์แป๊บเดียวเอง แล้วก็กลับมานั่งที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสอีกรอบ เพื่อรอพยาบาลนำไปห้องพักผู้ป่วย
ห้องพักอยู่ชั้น 12 ห้อง 1211 ชั้นบนสุดของตึกผู้ป่วย สงสัยว่าคงถูกโฉลกกับที่สูงๆ เพราะตอนที่แอดมิตโรงพยาบาลเดิม ก็อยู่ชั้น 20 ชั้นบนสุดของตึกผู้ป่วยของโรงพยาบาลนั้นเช่นกัน
ห้องพักเล็กจิ๋ว ยิ่งเทียบกับโรงพยาบาลเดิมที่เพิ่งไปใช้บริการก่อนนี้ราวสัปดาห์ ไม่มีไมโครเวฟ ไม่มีกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ทีวีก็ไปซุกไว้ใกล้ทางออก เตียงคนไข้ และโซฟาของคนเฝ้าไข้อยู่อีกมุมหนึ่ง ดูทีวีก็ต้องชะเง้อกันเลยทีเดียว
ก่อนทานข้าวเช้า พยาบาลนำเครื่องตรวจคลื่นหัวใจมาตรวจถึงเตียง จากนั้นก็เป็นเวลาระทึกขวัญ นั่นคือการเจาะเลือด เพราะผมเป็นคนที่กลัวเข็มที่สุดในโลก ลำพังดูหนังที่มีฉากเข็มจิ้มยังดูไม่ได้ หลับตาตลอด คราวนี้จะต้องมาจิ้มกันแต่เช้า โอ้ยยย ทำไงๆ
พยาบาลบอกว่าจะเจาะเข็มฝังน้ำเกลือ และดูดเลือดจากรูเจาะเลยทีเดียว จะได้ไม่ต้องเจาะหลายรอบเจ็บตัวเปล่าๆ ผมก็ว่าดี เจาะน้อยๆ ยิ่งดี ไม่ชอบเลย ก็แนะนำพยาบาลไปว่าเจาะตรงหลังมือสิ เห็นชัดดี แอดมิตคราวที่แล้วพยาบาลเขาก็เจาะตรงนี้ทีเดียวอยู่ แต่คุณพยาบาลเห็นว่าที่ข้อมือเส้นเลือดชัดกว่า (และอาจจะทำให้ขยับมือได้สะดวกกว่าด้วย) ว่าแล้วก็ตบๆ แปะๆ ที่ข้อมือสักครู่ แล้วก็เอาเข็มจิ้มลงไป รู้สึกเจ็บหน่วงๆ ถึงตอนนี้ก็หลับตาปี๋ ในใจก็คิดว่าเสร็จยังๆๆๆๆ ...เอ๊ะ ทำไมนาน ยังไม่เสร็จสักที หันกลับไปมอง อ้าว เอาเข็มออกมาแล้วนิ สรุป หาเส้นไม่เจอ ...เวรกรรม!
จากนั้นพยาบาลก็กลับมาจุดเดิม คือหลังมือเหมือนที่แนะนำไปแต่แรก จิ้มคราวนี้ พยาบาลก็เหมือนลังเลเล็กน้อย ไอ้เราก็ใจแป้ว จะต้องโดนจิ้มอีกมั้ย ความกลัวก็มากขึ้น - จิ้มจึก! และควานหา คราวนี้ก็ได้ผล หาเส้นเจอ ว่าแล้วคุณพยาบาลก็ดูดเลือดเพื่อนำไปตรวจ แต่ปัญหายังไม่จบแค่นั้น เพราะตอนนี้เกิดอาการกลัวมาก ทำให้เลือดที่ได้น้อย และเป็นฟอง
ทำไงดีล่ะ พยาบาลอีกคนบอกว่าเลือดไม่พอตรวจ ว่าแล้วก็ต้องมาเจาะเลือดที่ข้อพับแขน เพื่อให้ได้เลือดเพิ่ม สรุป ตรูโดนแทงไปสามเข็ม มากกว่าไอ้ที่บอกว่าแทงทีเดียว เจ็บทีเดียวสามเท่า แถมยังได้เข็มคามือไว้ตั้งแต่เช้า หมดโอกาสไปแรดไหน เห้อ! กลัวอะไร ก็มักได้อย่างนั้นเสมอเลยจริงๆ นะ
และด้วยความที่เจาะไปถึงสามเข็ม สติก็เลยแตก ความกลัวขึ้นหัวขึ้นหู ส่งผลให้เกิดอาการที่เรียกว่า 'กลัวจนตัวสั่น' มือไม้ ปากเปิก หนาวสั่นไปหมด จนต้องขอผ้าห่มมาห่มคลายความสั่นกลัว ใช้เวลานานจนอาหารเช้าที่นำมาเสิร์ฟเย็นชืด ต้องยกออกไปอุ่นใหม่
ทานข้าวเช้าเสร็จ ก็ได้เวลาขึ้นป้าย 'งดน้ำและอาหาร' จนกระทั่งตอนเที่ยง พยาบาลเข้ามาต่อน้ำเกลือเข้ารูเข็มที่เจาะไว้เมื่อเช้า และแจ้งว่าราวบ่ายสองจะมีเจ้าหน้าที่มารับตัวไปห้องผ่าตัด ...ว่าแล้วก็เริ่มเครียด ยิ่งมีเวลาว่างก็ยิ่งคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด เพราะไม่เคยผ่าตัดมาก่อนในชีวิต ทางแก้ของผมก็คือหาอะไรทำ อย่างเช่น อ่านหนังสือ พอมีสมาธิกับการอ่าน ก็เริ่มไม่ฟุ้งซ่าย ลืมเรื่องการผ่าตัดไปได้
กระทั่งบ่ายสอง พยาบาลนำยาแก้ปวดมาฉีดให้หนึ่งเข็ม ตอนยาเข้าเส้นเนี่ยะ ปวดๆ แสบๆ ที่มือและข้อมือ สักพักหนึ่งก็เริ่มเบลอ มึนๆ งงๆ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ก็จับผมย้ายไปที่เตียงเข็น เพื่อไปยังห้องรอผ่าตัด
ณ ห้องรอผ่าตัด ก็นอนมึนๆ ไปเรื่อยๆ กระทั่ง เอ๊ะ นานไปมั้ยนะ ไอ้เราก็ตื่นเต้น (ไม่เครียด ไม่กลัวละ) จนเริ่มได้สติกลับคืนมา เจ้าหน้าที่ก็พาไปยังห้องผ่าตัด 'OR4' หรือห้องผ่าตัดหมายเลขสี่
ห้องผ่าตัดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หรืออย่างที่เห็นในภาพยนตร์ เพราะเป็นห้องสีขาวสะอาดตา โล่งๆ มีเตียงผ่าตัดขนาดพอดีตัว กระดุกกระดิกเป็นอันตกเตียง มีแกนขนาดใหญ่เหนือเตียง ที่แขนขาเป็นเครื่องมือแพทย์และไฟผ่าตัด ข้างๆ มีเครื่องมือแพทย์ขนาดใหญ่อยู่สามสี่ชิ้น ที่พนังห้องมีช่องใส่อุปกรณ์แพทย์ปลอดเชื้อ ฯลฯ อย่างกะอยู่ในหนัง Resident Evil
ขยับไปนอนบนเตียงผ่าตัด แล้วเจ้าหน้าที่ก็จับแขนซ้ายที่มีสายน้ำเกลือกางออก แขนขวาล็อกไว้กับเตียง และพันด้วยเครื่องวัดความดัน หน้าอกแปะเครื่องวัดการเต้นหัวใจ สักครู่วิสัญญีแพทย์ก็เข้ามา ชวนคุยโน่นนี่ ไอ้เราก็คุยคิกคัก ร่าเริง ระหว่างนั้นหมอก็ให้ยาแก้ปวดอีกเข็ม ก็เริ่มมึนๆ งงๆ อีกครั้ง หมอบอกว่านี่ไม่ใช่ยาสลบนะ แต่จู่ๆ ก็สิ้นสติไปตอนไหนไม่รู้ รู้แค่ว่าก่อนที่สติจะหายไป เหลือบดูเวลา 15.45 น...

07 August 2009

ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 1)


รูปคู่กะโค้กซีโร่ของนิดหน่อย ก่อนวันผ่าตัดสองวัน นัยว่าต้องจากน้ำอัดลม และอื่นๆ ไปอีกหลายเดือน




ความเดิมที่ไปแอดมิตในโรงพยาบาลที่เคยไปใช้บริการประจำ บัดนี้คงไม่ไปแล้วล่ะ เซ็ง
ก็เปลี่ยนโรงพยาบาล เป็น โรงพยาบาลธนบุรี แถวพรานนก เนื่องจากคุณยายเคยรับการรักษากับคุณหมอ ณรงค์ เลิศอรรฆยมณี ที่เป็นคุณหมอจากศิริราช มารับรักษาเป็นเวลาที่โรงพยาบาลแห่งนี้ ผมไปพบคุณหมอเมื่อวันอังคารที่ 28 กรกฎาคม ที่ผ่านมา เริ่มจากโรงพยาบาลนี้ก่อนเลย ว่าเป็นโรงพยาบาลเอกชน ที่ดูเผินๆ นึกว่าเป็นโรงพยาบาลรัฐบาล เพราะคนไข้เยอะเหลือเกิน ยิ่งเทียบกับโรงพยาบาลเก่าที่ว่ามา โรงพยาบาลนี้ต้องเรียกว่าหนาแน่นมาก
ได้พบคุณหมอตอนเย็น ก็ตามระเบียบ คุณหมอดูฟิล์มเอ็กซ์เรย์ ก็บอกตามที่เห็นว่าพบนิ่วในถุงน้ำดีจริง อันที่จริงหลายๆ คนก็มีนิ่วในถุงน้ำดี เพียงแต่ ถ้าไม่แสดงอาการอะไร ก็ปล่อยไว้เรื่อยๆ ก็ไม่มีปัญหา ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน แต่ถ้ามีปัญหาอย่างที่ผมเป็นนี้ คือแสดงอาการต่างๆ เช่น ท้องอืด เฟ้อ ปวดบริเวณลิ้นปี่ (กระเพาะ) และมักมีอาการทันทีหลังทานอาหารมันๆ คลื่นไส้ ฯลฯ ก็ควรมาตรวจ เพราะบ่งบอกอาการของหลายโรค เช่นโรคกระเพาะ และถ้ารักษาเบื้องต้นไม่ได้ผล ก็ควรทำอัลตร้าซาวนด์ เพื่อเช็คถุงน้ำดี และช่องท้องส่วนบน หากไม่เจออะไรผิดปกติ ค่อยทำการส่องกล้องที่ช่องท้อง ตามลำดับ
ในเคสของผม คุณหมอแนะนำให้ผ่าตัดนำถุงน้ำดีออก ถามว่าทำไมไม่ผ่าเอานิ่วออกอย่างเดียวล่ะ ก็เพราะว่า ถ้ามันแสดงอาการแล้ว ก็หมายความว่าถุงน้ำดีมีปัญหาแล้วล่ะ ถึงจะผ่าเอาแค่นิ่วออกไป ก็จะเกิดอาการเช่นนี้ได้อีกต่อไป การตัดถุงน้ำดีออกไป จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากถุงน้ำดีเป็นตัวพักน้ำดีที่ผลิตจากตับเพื่อไปย่อยไขมันในลำไส้
คุณหมอบอกว่า ช่วงแรกๆ ที่เอาถุงน้ำดีออกไปแล้ว อาจจะมีอาการท้องอืดเวลาทานอาหารมัน หรือบางรายก็มีอาการท้องเสีย ซึ่งก็เป็นปกติ เพราะไม่มีที่พักน้ำดี แต่ต่อไปท่อน้ำดี ที่เป็นตัวลำเลียงน้ำดี จะขยายตัวขึ้นและทำหน้าที่แทนถุงน้ำดีได้เอง แต่อย่างไรก็ควรเพลาๆ การทานอาหารมัน
ตกลงก็เลยต้องผ่าตัดอย่างที่คาดไว้แล้ว คุณหมอว่า ถ้าว่างเมื่อไหร่ ก็มาเอาออก ผมเลยบอกคุณหมอว่าขอกลับไปเคลียร์งานก่อนแล้วจะนัดวันผ่าตัดอีกที เสร็จจากการพบคุณหมอ ก็ไปสอบถามราคาที่ฝ่ายการเงิน เขาคิดคร่าวๆ ว่า แสนสาม!!! โอ้วว ทำไมมันแพงขนาดนี้ เดินออกมาบอกแม่ว่า ไม่ต้องผ่าละ ซื้อโรเล็กซ์ให้ดีกว่า เวลาปวดอีกก็เอานาฬิกามาลูบๆ บรรเทาปวดละกัน - 555 ล้อเล่นน่ะ ปวดขึ้นมาทีนี่รับไม่ได้เลยนะ
คืนนั้นก็เลยคิดแต่เรื่องผ่าตัด เครียดๆๆๆ พอเครียดมาก เพราะเกิดมาไม่เคยผ่าตัด ก็เลยปวดท้องขึ้นมาอีก แทนที่จะได้นอนพักผ่อน ก็เลยไม่ได้นอนกันเลย เรียกว่าคืนนั้น 3 in 1 เลยล่ะ
รุ่งขึ้นเข้าออฟฟิตก็เคลียร์งานโน่นนี่ หมดไปหนึ่งวัน วันพฤหัส ที่ออฟฟิตมีทำบุญออฟฟิต ขณะเดียวกัน ก็มาคิดว่า ถึงไม่ผ่าตัดอาทิตย์นี้ ก็ต้องเป็นอาทิตย์หน้าอยู่ดี แถมต้องทานแต่ข้าวต้ม โจ๊ก และยาไปเรื่อยๆ จนถึงอาทิตย์หน้า ไหนๆ ก็ไหนๆ อาหารวันทำบุญ เยอะแยะและน่าทานมากมาย เลยตัดสินใจว่า เสาร์นี้เลยละกัน และก็ได้ความว่า วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม ต้องไปโรงพยาบาลเพื่อจองห้อง เช็ค และเตรียมร่างกายตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง และให้งดน้ำงดอาหารตั้งแต่เที่ยงคืนวันศุกร์ต่อเช้าวันเสาร์เพื่อตรวจเลือดด้วย
วันพฤหัสที่ว่านั้น อดใจไม่ไหว เลยแอบหม่ำลูกชิ้นปิ้ง และหมูสะเต๊ะ ไปหลายไม้ ผลก็คืออาการเจ็บถุงน้ำดีกำเริบไปจนถึงวันศุกร์ ตอนเย็นก็ซ้ำเติมร่างกายด้วยข้าวต้มมื้ออำลาจากนิดหน่อย ส่วนคืนวันศุกร์ก็เป็นมื้ออำลาจากน้องบิ๊ก
และแล้ววันเสาร์ก็มาถึง...




ปล. ลองค้นในพจนานุกรมออนไลน์ เขามีศัพท์ 'การศัลยกรรมเอาถุงน้ำดีออก' เป็นภาษาอังกฤษว่า 'cholecystectomy'

23 July 2009

นิ่วในถุงน้ำดี กะโรงพยาบาลแย่ๆ

เมื่อวานตอนดึก เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงจนต้องหอบร่างไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลเอกชนบนถนนสาทร เพราะไปหาเป็นประจำ

อาการคือปวดใต้ราวนมขวา ปวดมาก ปวดจนอยากอาเจียน อยู่นิ่งๆ ไม่ได้เลย (คนอื่นอาจไม่ได้ปวดแบบผม) คุณหมอที่ห้องฉุกเฉินรีบจับขึ้นเตียง หลังเห็นอาการแย่มากของผมหลังลงทะเบียนคนไข้ ขึ้นเตียงก็แทบจะอยู่ไม่สุก เพราะปวดมาก คุณหมอตรวจและสอบถามอาการ จากนั้นจึงตัดสินใจให้ฉีดยาแก้อาเจียน และยาลดกรด ฉีดเสร็จก็ไม่หาย ปวดท้องต่อไปเรื่อยๆ เดินพล่านอยู่ในห้องคนป่วย พยาบาลก็ตกอกตกใจ
"ใจเย็นๆ ค่ะ อดทนสักยี่สิบนาทีนะคะ" พยาบาลบอก ก็พยายามใจเย็นแต่มันปวดมาก ไม่ใช่เหมือนปวดท้องกระเพาะหรือปวดท้องอาหารเป็นพิษ ก็ยังคงวิ่งพล่าน และพยายามอาเจียน แต่ก็ไม่ดีขึ้น สุดท้ายดิ้นไปมาครบเวลา อาการก็ไม่ดีเลย
คุณหมอกลับมาดูอาการอีกครั้ง ถามว่าจะแอดมิตมั้ย ถ้าแอดมิตก็จะได้ตามดูอาการได้ ตอนเช้าจะได้พบหมอประจำ มิฉะนั้นก็จะให้ยาอีกตัวแรงขึ้น แล้วกลับ ตัดสินใจว่าจะพักที่โรงพยาบาลดีกว่า เพราะยังไม่มีวี่แววจะหายเลย
ตอบตกลงไป เขาก็เอาน้ำเกลือมาเสียบหลังมือ แล้วให้ยาลดกรดเพิ่มอีกเข็ม เจ้าหน้าที่เข็นรถพาขึ้นชั้น 24 บนสุด ได้ห้อง 2408 ไปนอนในห้องก็ยังไม่หายปวด วิ่งไปมารอบห้อง คุณพ่อ คุณแม่ตามมา ดูเขาจะเจ็บกว่าเราเสียอีก สงสารพ่อแม่จับใจ แต่ตอนนี้ก็ทรมานจริงๆ เหมือนกัน ก็เลยดิ้นพราดๆๆๆๆ
ที่สุดคุณหมอเวรก็เข้ามา เห็นอาการ ก็สั่งให้เอายาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของมอร์ฟิน และยาอีกขนาดมาให้รวมสองเข็ม ฉีดเข้าไปสักพัก อาการปวดก็ลดลง พร้อมอาการซึมลงเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนชาทั่วร่างเพราะฤทธิ์ผงชูรส แรงหมด จะหยิบโทรศัพท์มาดู sms ก็หมดแรง ลืมตาก็เบลอๆ นึกว่าจะคึกคักล่องลอยเสียอีก ว่าแล้วก็หลับไป
เกือบแปดโมงเช้าคุณหมอประจำเข้ามา ขอไม่เอ่ยชื่อละกัน เพราะจะจำไว้จนวันตาย เข้ามาถึงก็ดูอาการ แล้วบอกว่า เอาล่ะคับ "เดี๋ยวให้ไปอัลตร้าซาวนด์นะ เพราะญาติขอให้ทำ" ว่าแล้วก็ออกไป แล้วเจ้าหน้าที่ก็มาพาลงไปอัลตร้าซาวด์
ระหว่างอัลตร้าซาวด์ เขาก็ให้พลิกไปมา ส่องโน่นนี่ ก็ถามว่าพบอะไรมั้ยครับ เข้าหน้าที่การแพทย์ก็ตอบกลับมาว่า "พบนิ่วสองสามก้อนในถุงน้ำดีครับ" เห้อ...อยากจะเป็นลม สิ่งที่ไม่อยากให้เป็นดันเป็นอย่างที่คาด ยังไงล่ะ ต้องผ่าตัดมั้ย ต้องอะไรยังไง เมื่อไหร่ เจ้าหน้าที่บอกว่าคงต้องให้คุณหมอแนะนำ น่านสิ เขาไม่ใช่แพทย์นี่นะ

ขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง พยาบาลนำอาหารเช้ามาให้ ก็ถามพยาบาลว่าคุณหมอจะมาเมื่อไหร่ เขาว่า "ตอนบ่ายๆ ค่ะ เพราะหมอมีคนไข้เยอะ" ก็ตามนั้น รอจนเกือบเที่ยง พยาบาลก็นำอาหารกลางวันมาให้ แม่ก็ถามอีก คุณหมอจะมาหรือยัง คำตอบก็ยังคงเป็นบ่ายๆ จนกระทั่งบ่ายโมงกว่า พยาบาลมาเก็บอาหาร แม่ก็ถามอีกว่า แล้วหมอจะมากี่โมง เขาก็บอกอีกเหมือนเดิม บ่ายๆ ค่ะ จนพล่อยหลับไปหนึ่งตื่น
ตื่นขึ้นมาราวสี่โมงเย็น ก็เอ๊ะยังไง มีแต่คนโทรมาถามว่าเป็นอะไรยังไงบ้า ก็ตอบไม่ได้ รู้แค่ว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แล้วต้องทำไงอีก ก็ไม่รู้ ไม่ได้เจอหมอตั้งแต่ตอนเจ็ดโมงเช้า ไม่ได้ละ โทรไปถามพยาบาลอีกรอบด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่าตกลงคุณหมอจะมากี่โมงครับ นี่สี่โมงเย็นแล้ว ว่าแล้วคุณพยาบาลก็ไปตามให้
วางสายไปสักพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พยาบาลอยู่ในสายแจ้งว่า ขอให้คุยกับคุณหมอนะคะ ว่าแล้วก็โอนสายให้คุณหมอ "เดี๋ยวเรามาพบกันพรุ่งนี้นะครับ" เอ๊ะยังไง? แล้วให้รอทำไมทั้งวัน "แล้วผมจะต้องทำไงครับคุณหมอ นอนโรงพยาบาลรอคุณหมอตอนเช้าหรอครับ" ผมถาม แล้วคุณหมอก็ตอบว่า "ครับ ก็เป็นอย่างนั้น ผมยังไม่ได้ดูฟิลม์อัลตร้าซาวด์เลย ไว้มาดูพรุ่งนี้กัน"
"อ้าว แล้วทำไมไม่บอกละครับ นี่ผมอยู่รอหมอมาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ และตอนนี้ผมก็ไม่มีอาการแล้ว จู่ๆ หมอก็มาบอกว่าให้เจอกันพรุ่งนี้ ยังไงล่ะ ผมต้องรอไปเปล่าๆ ฟรีๆ ทั้งวันหรอคับ แล้วถ้าผมกลับบ้านละ เจอกันวันพรุ่งนี้ดีมั้ย เพราะบ้านก็ไม่ไกล" ผมตอบไปอย่างมีอารมณ์พอประมาณ คุณหมอก็บอกว่า งั้นเดี๋ยวผมขอคุยกับพยาบาล
สักพักคุณพยาบาลก็เข้ามา (ซวยละ) แล้วก็บอกว่า คงเป็นการสื่อสารกันผิดพลาดของพยาบาลรอบเช้าค่ะ เพราะเห็นว่าตอนบ่ายหมอมีส่องกล้อง แล้วคงลืม ผมก็ว่าแล้วงัยล่ะ ให้ผมรอกี่ชั่วโมงแล้วต้องมารอต่อไปถึงพรุ่งนี้โดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร คุณไม่คิดค่าห้องผมหรือเปล่าล่
พยาบาลก็ตอบเลี่้ยงๆ ใจเย็นๆ ว่า ก็ต้องโทษนะคะ แต่พยาบาลคิดว่าคุณหมอคงอยากให้ดูอาการอีกคืน ถ้าไม่มีอะไรก็พรุ่งนี้ก็มาดูอาการกัน ผมก็บอกว่า แต่คุณหมอไม่ได้บอกผมเลย หมอหายไปเลย ปกติคนไข้ก็ต้องหวังที่จะฟังอะไรจากหมอ แต่นี่เหมือนโดนทิ้งให้นอนรออยู่ในห้องเปล่าๆ ทั้งวัน ไม่เอาดีกว่า ขอกลับละครับ ...อันที่จริงก็มีบ่น (ด่า) โน่นนี่อีกพอประมาณ แต่เล่าไม่ไหวละ ยาวเกิน
สรุปพยาบาลก็จะไปถามหมอให้ว่าต้องทำอะไรยังไง ครู่ใหญ่ก็กลับมาพร้อมบอกว่า ตกลงงั้นเดี๋ยวคิดค่าบริการนะคะ แล้วก็ให้ยามา แล้วก็ฟิลม์อัลตร้าซาวด์ พร้อมผลเลือด จากนั้นก็ลงไปจ่ายเงิน พร้อมกับคอมเพลนอีกรอบหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จากนั้นก็กลับ ด้วยราคาค่าห้องค่ายาค่าหมอ รวมประมาณ 10,376 บาท (ลดเฉพาะค่าห้องและค่ายา 5% จากบัตรเครดิต และ 5% ที่จำใจลดให้ - เพราะต้องทวง ว่าไม่คิดจะแสดงความรับผิดชอบอะไรบ้างหรอ!)
แต่ที่เจ็บใจที่สุดคือค่าหมอ ห้องฉุกเฉิน และหมอเวร คนละ 300 และ 400 บาท แต่หมอประจำตอนเช้าที่คุยกะเราสองประโยค แล้วหายไป คือ 600 บาท!! ตอนนี้ก็เลยต้องหาโรงพยาบาลใหม่ เพราะเสียความรู้สึกกับการไม่ใส่ใจคนไข้ ทั้งที่เป็นโรงพยาบาลที่ผมไปใช้บริการมาโดยตลอด
เสียชื่อนักบุญคนยากหมดเลย

15 July 2009

เกร็ด หวัด ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดใหญ่ 2009

เมื่อตอนสายของวันนี้ ไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์ ด้วยอาการคล้ายเป็น หวัด (common cold) คือเจ็บคอ และมีน้ำมูก ที่โรงพยาบาล ผู้ใช้บริการก็คาดหน้ากากกันเป็นส่วนใหญ่ ก็คงด้วยกลัวว่าจะรับเชื้อมากไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะรู้กันดีว่าถ้าคนไม่ป่วย คงไม่ไปโรงพยาบาลหรอก

พบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยโรค ก็ตามที่คาดไว้คือสันนิษฐานว่าเป็นหวัด ไม่ได้เป็นไข้หวัดใหญ่ (flu / influenza) ที่ต้องกระแดะพิมพ์อังกฤษ เพราะหลายคนมักจะเข้าใจรวมกันว่า หวัดก็ต้องเป็นไข้หวัด ยิ่งตอนนี้ก็ยิ่งต้องคิดว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่หรือเปล่า เพราะอาการหวัด กะไข้หวัดใหญ่ก็คล้ายกัน

ตรวจอาการเสร็จ คุณหมอก็ถามว่า "มีอะไรอยากถามมั้ยคะ" เดาว่า คนคงสงสัยเรื่องไข้หวัดใหญ่ 2009 กันเยอะ เพราะตอนวินิจฉัยอาการ หมอก็เทียบเคียงกับอาการของไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยตลอด ก็เป็นโอกาสดี ที่จะได้ความรู้มาเล่าให้ฟังกัน ดังนี้

คุณหมอแนะนำว่า อาการเริ่มต้นอย่างการเป็นหวัด คือแค่เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก มีเสมหะ แบบที่ผมเป็น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเป็นไข้หวัดใหญ่ แนะนำให้รอดูอาการไปอีก 2-3 วัน จนถึงหนึ่งอาทิตย์ หากไม่มีไข้ขึ้นสูงมาก (คือมากกว่า 38 องศาเซลเซียส) ปวดเมื่อยเนื้อตัวจนแทบจะลุกไปไหนไม่ได้ และไข้ไม่ลด ก็ต้องรีบมาพบแพทย์โดยด่วน ***ควรมีปรอทวัดไข้ติดบ้านกันนะ***

ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมหากเพื่อนๆ ในที่ทำงานหรือโรงเรียน ป่วยเป็นแค่หวัด คือเจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก จึงควรคาดผ้าปิดปาก หรือที่ให้ถูกต้อง ควรพักอยู่กับบ้าน ดูอาการ เพราะมีสิทธิเป็นไข้หวัดใหญ่ตามมาได้

เพิ่มเติม: ในคนไข้ ที่เป็นไข้หวัดใหญ่โดยปกติ จะมีอาการควบคู่กันไป คือเจ็บคอ มีน้ำมูก และเป็นไข้ แต่ในบางกรณี อาจไม่มีไข้ในระยะแรกก็ได้

ไม่ควรทานยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อไวรัสเอง หรือยาลดไข้แบบแรงๆ (ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าเป็นไข้หวัดใหญ่) เพราะจะทำให้การวินิจฉัยโรคยาก ในเบื้องต้นควรรักษาตามอาการ เช่นถ้าเป็นหวัดมีไข้ก็ทานยาลดไข้ (แนะนำ พาราเซตามอล 2 เม็ด ในผู้ใหญ่ 1 เม็ดในเด็ก ...ตามที่ผมทราบมา: ไม่ใช่เป็นไข้นิดเดียวขอกินเม็ดเดียว หรือครึ่งเม็ดพอ เพราะต้องรับปริมาณยาตามน้ำหนัก)

ไข้หวัดใหญ่ 2009 ต่างจากไข้หวัดใหญ่ปกติ ตรงที่ไข้หวัดใหญ่ 2009 ติดต่อกันได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 จึงเป็นที่วิตกกันทั่วโลก ทว่าอาการของการเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 และการรักษาก็ไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่ปกติ

เป็นแค่หวัด ก็มีโอกาสอ่อนเพลีย เมื่อยเนื้อตัว และมีไข้ได้เหมือนกันนะ ...รักษาตามอาการจ้ะ อย่าวิตกจริต

คุณหมอเล่าว่า อาทิตย์นี้ คนไข้วิตกกันน้อยลงกว่าอาทิตย์ที่ผ่านมา อีกทั้งการตรวจพบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ของคนไข้ที่มารักษามีน้อยกว่าอาทิตย์ที่แล้ว ถึงขนาดที่คุณหมอบอกว่า อาทิตย์ที่ผ่านมา เอาน้ำมูกคนไข้ไปตรวจแทบทุกรายจะเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่จะเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือเปล่าคุณหมอบอกว่าไม่ทราบ เนื่องจากต้องตรวจเป็นกรณีๆ ไป เพราะค่าตรวจแพงจริง

และอาทิตย์ที่แล้ว คนไข้ที่มาโรงพยาบาล คาดหน้ากากกันมากกว่าอาทิตย์นี้เสียอีก

ตอนไปหาหมอเมื่อเช้า พยาบาล จะซักอาการละเอียดกว่าปกติ เช่น มีไข้มั้ย เจ็บคอ น้ำมูกไหล ฯลฯ และนอกจากชั่งน้ำหนัก และตรวจความดันปกติ ก็จะให้ปรอทวัดไข้ด้วย เป็นต้น

สำหรับวิธีป้องกันการติดเชื้อเบื้องต้น และข้อมูลไข้หวัดใหญ่ 2009 ผมเคยคิดลอกจากเอกสารเผยแพร่ที่ไปได้มาจากฮ่องกงแล้วครั้งหนึ่ง ย้อนกลับไปอ่านได้ที่ http://kokoichi.blogspot.com/2009/05/human-swine-influenza.html และวิดีทัศน์เรื่องไข้หวัด 2009 http://kokoichi.blogspot.com/2009/06/blog-post.html

07 July 2009

Sunday Morning at BangRak

ปกติเรื่องตื่นเช้า เหมือนเป็นเส้นขนานกับชีวิต ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่อยากตื่นแต่เช้าตรู่ ยิ่้งถ้าให้ออกจากบ้านก็ยิ่งจำเป็นสุดๆ แบบว่าต้องไปทำงาน
คืนวันเสาร์ดื่มไวน์เยอะไปหน่อย แต่แปลกเพราะควรจะหลับไม่ได้สติ ทว่าหลับไปไม่ถึงชั่วโมงก็ตื่น ...แล้วก็ไม่หลับอีกเลย! "เช้าแล้วนิ" ผมบอกกับตัวเอง เพราะแดดเริ่มส่อง เอางัยดีกับชีวิต กลิ้งไปมาอยู่บนเตียงไม่หลับเสียที ก็อย่ากระนั้นเลย ทำไมไม่หาอะไรดีๆ ทำดูบ้าง อะไรบ้าง - ว่าแล้วก็นึกอะไรออกอย่างหนึ่ง ...ใช่แล้วล่ะ ออกไปซื้อกระเพาะปลาบางรักท่าจะดี
ที่คิดแบบนั้นเพราะอย่างที่ทราบว่าหน้าบ้านก็คือสถานีรถไฟฟ้า สถานีที่สามก็เป็นสถานีสะพานตากสิน ซึ่งก็คือ บางรัก ...แน่นอน ตอนนี้อยู่ในระหว่างทดลองใช้บริการ สามสถานีนี้ก็เลยขึ้นลงฟรี จนถึงวันที่ 12 สิงหาคมนี้
ตื่นเช้าคงมีอะไรดีๆ อย่างที่เราไม่เคยได้เจอมาก่อนก็ได้มั้ง (เอ๊ะ ความจริงยังไม่หลับต่างหากนิ!)
สัมผัสแรกที่ปะทะความรู้สึกคือแสงแดดอ่อนๆ ย้อนกลับไปที่จะต้องตื่นเช้าเป็นประจำคือตอนไปโรงเรียน พอขึ้นมหาวิทยาลัย ก็จะต้องตื่นเช้าๆ แค่ปีแรกๆ พอทำงาน ก็ลืมไปเลยว่าตื่นเช้าเป็นอย่างไร
เดินขึ้นบนสถานีรถไฟฟ้าอย่างเรื่อยเปื่อย อาทิตย์เช้าดูไม่ต้องรีบเร่ง เป็นอย่างต่อมาที่รู้สึกได้ว่า ลืมเวลาเรื่อยเปื่อยนี่ไปนานแค่ไหน ...ก็คงตั้งแต่เริ่มทำงานมั้ง อย่างว่า สังคมเมืองก็ทำให้เราต้องเร่งชีวิตตามเข็มนาฬิกาเมือง
ขึ้นไปบนชานชลา ระหว่างรอรถไฟฟ้า ก็แอบสังเกตุถนนที่ปกติออกจากบ้านที่ไร ก็ต้องมีแต่รถ ติดยาวเหยียด และแดดร้อนอบอ้าว จะเห็นภาพถนนโล่งๆ ยามสาย บ่าย เย็น ก็ต้องเป็นช่วงวันหยุดยาวๆ เท่านั้นแหละ
บนรถไฟฟ้า ก็แทบจะไม่มีผู้คน ผมไม่รู้หรอกว่า คนที่อยู่บนรถไฟฟ้ายามนี้ เขาต้องทำอะไรบ้าง เขากำลังคิดอะไร และกำลังจะไปไหน รู้แค่ว่า ตอนนี้ตัวเองไม่ต้องรีบเร่ง ไปต้องวุ่นวาย ไม่ต้องลืมโน่นนี่ จึงมีเวลามองโน่นนี่ได้อย่างละเอียดขึ้น มีเวลาให้กับตัวเอง หยิบไอพ๊อดขึ้นมาฟัง เปิดเพลงเบาๆ ก็ให้รู้สึกเพลิดเพลิน ทั้งที่มันก็แค่นั่นรถไฟฟ้า

ถึงสถานีสะพานตากสิน แม่ค้าแม่ขาย กำลังกุลีกุจอตระเตรียมร้านรวง เหมือนจะรีบ แต่ก็ดูไม่ซีเรียส บางก็นั่งพัก ทอดสายตาอย่างอารมณ์ดี ก็เลยไปซื้อขาเย็นกับแม่ค้าติดบันไดรถไฟฟ้าเป็นประเดิม

ถ้าเป็นวันปกติ เวลา 7.33 น. เหมือนเช่นภาพบน ก็คงคึกคักน่าดู เพราะอย่างที่รู้ บางรักก็เป็นหนึ่งในย่านค้าขายที่จอแจวุ่นวาย ถนนก็แคบ ทางเท้าก็เล็ก มีทั้งตลาด มีทั้งป้ายรถเมล์ มีทั้งท่าเรือ น่าเวียนหัวดี
ปกติผมก็ชอบอะไรที่จอแจ (บ้าง) แต่ไม่วุ่นวาย เหมือนเวลาเดินห้างแล้วคนเยอะเป็นหนอน แถมมีเสียงอะไรต่อมิอะไร อย่าง เสียงเพลงเสียงโทรโข่งแต่ละร้าน เสียงคน เสียงจากลำโพงในห้าง แบบนี้สิวุ่นวายอย่างที่ทำให้อารมณ์เสีย แต่อย่างวุ่นวายแบบตลาด กลับรู้สึกชอบ
เช้านี้ร้านรวงยังปิด และปิดเกือบหมดทุกร้านในย่านนี้ ก็เลยรู้สึกแปลกๆ เพราะอย่างที่บอก แทบไม่เคยเห็นเลย


ถนนก็โล่ง สบายใจ...


ปกติก็เห็นผักผลไม้แบบนี้ประจำ แต่ตอนเช้าๆ ได้เห็นอะไรสีสดๆ แบบนี้ก็ดูไม่เลว


ถ้าไม่รีบมาก และได้ไปบางรัก ก็มักแวะซื้อขนมหวานที่มีอยู่สองร้าน ร้านหนึ่งอยู่ซอย อีกร้านก็ดังรูป ส่วนใหญ่จะซื้ออีกร้านนึงมากกว่า เพราะขายในบ้านเก่าๆ ดูขลัง ก็เลยเลือกเอาความขลังไว้ก่อน :-)

มาถึงซอยที่ขายกระเพาะปลาแล้วครับ ซอยนี้อยู่ตรงข้ามตึกสเตรท ทาวเวอร์ ที่ตั้งของโรงแรมเลอบัว และภัตตาคารซิร๊อคโค่ บนดาดฟ้า ร้านกระเพาะปลา เป็นห้องแถวห้องเดียว ขายกระเพาะปลาที่มีสาขาออริจินัลอยู่ที่แถวศาลเจ้าพ่อเสือ แม่บอกว่า ที่นี่ก็จะไปเอากระเพาะปลาจากร้านออริจินัลมาขายที่นี่ ก็คือไม่ได้ปรุงกันที่บางรัก มีหน้าที่ตักใส่ชาม ใส่ถุงขายอย่างเดียว ลูกค้าก็เยอะแยะ เคยมาซื้อกับแม่ครั้งสองครั้ง โหย คิวยาวน่าดู ขายแป๊บเดียวก็หมด
ทว่า วันนี้มาเช้าเกิน มีแต่ร้านเปิดไว้โล้นๆ ไม่มีคน ไม่มีกระเพาะปลา ...อ้าว.... เซ็ง!!

เฮ้อ มาเช้าไปหรือนี่! ได้เราก็นึกว่าเวลานี้เวลาเด็ด อาจจะเป็นคิวแรก ที่ไหนได้ เป็นคิวที่ศูนย์ คืออดแดก -
พี่พลอย จริยะเวช ส่งข้อความมาในเฟสบุ๊ค ว่าอยากทานบ้าง ก็เลยตอบไปว่ามาเช้าเกินไม่มีอะไรขาย พี่ท่านก็ตอบกลับมาว่า งั้นอย่าลืมขนมที่ร้านปั้นลี่ ก็บอกท่านพี่กลับไปว่า ไม่มีอะไรขายน่ะ ไม่ใช่แค่กระเพาะปลา แต่ไม่มีอะไรใดๆ รวมทั้งปั้นลี่ร้านโปรด ที่แต่ก่อนใครผ่านมาแถวนี้ก็มักแวะซื้อคุ๊กกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์มาฝาก (แต่หลังๆ นี้ผมว่ามันไม่ค่อยอร่อย ชิ้นเล็กลง และเม็ดมะม่วงก็น้อยลง ซึ่งก็ผ่านมาหลายปีละ ไม่รู้เดี๋ยวนี้จะเป็นยังไง)
แต่ก็ไม่ไร้ซึ่งอะไรใดๆ ติดมือกลับบ้าน เพราะยังเหลือโจ๊กบางรัก หรือโจ๊ก (โรงหนัง) ปริ๊นซ์ ขายมาตั้งแต่เช้า ผมไม่ค่อยรู้จักโจ๊กร้านนี้หรอก เพราะพ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบโจ๊กใสๆ ชอบโจ๊กข้นๆ แบบโจ๊กตลาดน้อย หรือโจ๊กพาหุรัด แต่ที่นี่แม้โจ๊กจะใส
แต่เขาดังเรื่องหมูสับก้อนชิ้นใหญ่ยักษ์ ที่เอามาหันแบ่งย่อยๆ ได้ 4-5 ชิ้นขนาดปกติที่ร้านโจ๊กอื่นๆ ขายกัน มองดูออฟชั่นจากทางร้าน ผมว่าใส่ตับก็เข้าท่า เพราะดูน่าทานดี แต่บังเอิญผมไม่ทานตับ ก็ผ่านไป
คุณพี่คนขายแต่งตัวแต่งหน้าสีจัดจ้าน อย่างที่บอกตอนดูผักผลไม้ ว่าได้เห็นอะไร สีสดๆ ยามเช้าแบบนี้ก็ดูสบายใจดี คุณพี่ดูเหมือนจะต้องเสียงดัง โวยวาย อารมณ์ร้าย ตามเสื้อผ้าหน้าผม ที่มักคุ้นกันในละครหลังข่าว เรียกว่าตรงตามสูตรตัวร้ายเลยล่ะ จริงๆ กลับยิ้มแย้ม ร่าเริง อารมณ์ดี แม้คนเข้าคิวรอจะเยอะและวุ่นวาย ...เช้านี้มีแต่เรื่องดีๆ เฮะ
ได้โจ๊กใส่ไข่มาสามถุง รสชาติไม่เลวร้าย หมูสับก้อนชิ้นยักษ์ แต่แนะนำให้เอากลับมาอุ่นที่บ้านครับ จะได้ร้อนๆ ทั้งโจ๊กและเนื้อหมู (ร้อนไปถึงข้างในก้อนหมู เนื่องจากหมูสับชิ้นใหญ่ ข้างในเลยไม่ค่อยร้อน แต่ก็สุก) กดภาพถ่ายสุดท้ายก่อนกลับบ้าน จากบนชานชลารถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน รถก็ยังโล่งเช่นเคย
เป็นความสงบ และได้ใช้ชีวิตกับตัวเองจริงๆ อีกครั้ง

26 June 2009

Gone Too Soon, Michael Jackson



Like A Comet
Blazing 'Cross The Evening Sky
Gone Too Soon

Like A Rainbow
Fading In The Twinkling Of An Eye
Gone Too Soon

Shiny And Sparkly
And Splendidly Bright
Here One Day
Gone One Night

Like The Loss Of Sunlight
On A Cloudy Afternoon
Gone Too Soon

Like A Castle
Built Upon A Sandy Beach
Gone Too Soon

Like A Perfect Flower
That Is Just Beyond Your Reach
Gone Too Soon

Born To Amuse, To Inspire, To Delight
Here One Day
Gone One Night

Like A Sunset
Dying With The Rising Of The Moon
Gone Too Soon

Gone Too Soon

Rest In Peace
Michael Jackson
'King of Pop'
(1958-2009)

20 June 2009

เลี่ยงอาหาร 7 อย่าง ยามท้องว่าง

มีน้องคนนึงส่งเมล์มาให้อ่าน เห็นว่าเป็นประโยชน์ จึงขอนำมาโพสต์บ้าง เพราะหลายๆ ข้อก็เพิ่งรู้เหตุและผลก็คราวนี้


หากใครเคยหิวจนมือไม้สั่น ไม่มีแรงพอที่จะออกไปซื้ออาหารมารับประทานเหมือนทุกครั้ง และหาอาหารอะไรก็ได้ใส่ท้องเพียงแค่ประทังชีวิต โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงสุขภาพเท่าที่ควรนั้น ในวันนี้ต้องเพิ่มความระมัดระวังและเอาใจใส่ในเรื่องอาหารการกินมากขึ้นแล้วเพราะอาหารบางประเภทไม่เหมาะที่จะรับประทานในช่วงท้องว่างๆ ส่วนมีอะไรบ้างนั้น ลองมาดูกันเลยค่ะ

1. นมและถั่วเหลือง เมนูยอดนิยมสำหรับใครหลายๆคน ไม่ว่าจะเป็นเพราะความสะดวกในการรับประทานหรือประหยัดเวลา นมมักเป็นคำตอบแรกเวลาหิว แต่แม้จะอุดมด้วยโปรตีนและเชื่อว่าการดื่มนมเยอะๆจะมีประโยชน์นั้น แทที่จริงแล้วการดื่มนมและถั่วหลืองเช่นน้ำเต้าหู้จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่ ดังนั้นการเลือกรับประทานนมตอนท้องว่าง จะทำให้ท้องอืดได้

2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน การที่คนเราเสียพลังงานไปเยอะนั้น จริงอยู่ว่าร่างกายต้องได้รับการเสริมสร้างจากเกลือแร่และน้ำตาลเมื่อเรารู้สึกอ่อนเพลีย แต่ทว่าหากท้องว่างแล้วนั้น การเลือกดื่มน้ำหวาน หรือของหวานเช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ซึ่งส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิดและลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไตได้

3. ผัก บางคนอาจคิดว่าการทานผักเยอะๆแทนข้าว โดยเฉพาะนที่ต้องการลดควมอ้วนนั้น เป็นความคิดที่ผิดและไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะได้รับสารอาหารไม่ครบถ้วนแล้ว การรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด

4. กล้วย คนส่วนใหญ่มักเชื่อกันว่า การทานกล้วยเยอะๆจะทำให้ระบบขับถ่ายดี แต่มักลืมกันไปว่าหากทานกล้วยในช่วงเวลาตอนท้องว่างแล้ว นอกจากจะทำให้ท้องอืด ยังจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียมและแมกนีเซียมซึ่งเป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ อันเป็นอันตรายต่อสุขภาพอย่างมาก

5. ชาแก่ ตื่นเช้าแล้วจิบน้ำชาสักแก้ว ดูแล้วเข้าท่าและน่าจะดี แต่หารู้ไม่ว่าการจิบชาร้อนโดยเฉพาะชาแก่ช่วงท้องว่างนั้นจะทำให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่มีแรง

6. ลูกพลับ เป็นอีกหนึ่งชนิดต้องห้ามยามท้องว่าง เพราลูกพลับจะเป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร

7. เหล้า กระเทียม เป็นสิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรรับประทานในขณะท้องว่าง เพราะทั้งสองสิ่งนี้จะมีส่วนเพิ่งแรงกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้

อย่างไรก็ตาม ขณะท้องว่างนั้น เราไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำมากและเมื่อตื่นเช้าขึ้นมา เราควรดื่มน้ำอุ่นๆสัก1-2แก้ว เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพ อีกทั้งยังช่วยปรับระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นอีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก
heyhapartyและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส.)

18 June 2009

another ต้มยำ


ขั้นจังหวะคัพนู้ดเดิ้ลนอก ด้วยหมี่ถ้วยที่ไปเจอะเจอใน 7-11 แถวบ้าน อดใจไม่ไหวก็เลยซื้อมาลองดูสิ Ichiban Ramen Tomyam Chashu จากนิชชิน คัพนู้ดเดิ้ลเจ้าเก่า เขาบอกว่าเป็นเส้นบะหมี่ไข่แบบญี่ปุ่น เห็นว่าแปลกดี เพราะบะหมี่คัพนู้ดเดิ้ลจริงๆ มันก็มาจากญี่ปุ่นนินา ก็เลยอยากจะขอลอง

จริงๆ เขามีรสอื่นให้เลือกอีกสองรส แต่เลือกรสนี้ เพราะอยากกินอะไรแซ่บๆ ไว้คราวหน้า ไม่ลืมจะเอามาให้ยลอีก (ถ้าไม่รีบไปซื้อหามาหม่ำเสียก่อนนะ)



ตามสไตล์คัพนู้ดเดิ้ลไทยแลนด์ ก็มีปริมาณประมาณครึ่งถ้วย มีหมูผักพอประมาณ อาทิ หมูชาชูแห้งๆ แครอท กะหล่ำปลี สาหร่าย และที่สำคัญ เพื่อให้ครบสมบูรณ์ความเป็นต้มยำ จึงมี ข่าซอย มาให้คุ้นลิ้น
คงต้องพูดถึงเส้นบะหมี่เป็นอันดับแรก ดูจากภายนอก มันไม่หยิกหยอยเหมือนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปทั่วไป แค่หยักศกเล็กๆ ทิ้งไว้สักพัก เส้นก็ไม่เละเทะ แต่เหนียวนุ่มสัมผัสรู้ว่าเป็นเส้นกลมๆ ไม่ติดกันเป็นแพ มันก็เลยจะไม่ค่อยติดน้ำซุปขึ้นมาเท่าไหร่ ตามแบบฉบับที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแบบหยิกหยอยทั่วไปเขาตั้งใจออกแบบให้มันอุ้มน้ำซุป เพื่อไม่ให้กินแต่เส้นจืดๆ แต่อย่างว่า เส้นอร่อยดี เรียกว่าเป็นจุดเด่นของคัพนู้ดเดิ้ลถ้วยนี้เลย ส่วนรสชาติต้มยำ ก็ปกติ นี่ใส่น้ำน้อยกว่าขีดที่เขากำหนด ก็เลยแซ่บกว่าปกตินิดหน่อย
เอาเป็นว่า อิชิบังราเมง จะมีภาคสองมาให้อ่านกันแน่นอน

12 June 2009

ไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ๆ


วิดีโอข้างบนนี้ พบในเว็บไซต์ของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เห็นว่ามีสาระและเป็นประโยชน์อย่างมาก นำเสนอที่มาที่ไป และวิธีการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ที่เราทำได้ และควรทำอย่างเป็นประจำ ที่ไม่เพียงแต่จะป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ยังสามารถป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ วัณโรค ท้องร่วง โรคซาร์ส ฯลฯ รวมทั้งไข้หวัดพิสดารที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต

ปัญหาใหญ่ของการรณรงค์ป้องกันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้ก็คือ ยังเข้าไม่ถึงประชาชนจำนวนมาก และคนส่วนมากก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องล้างมือ ทำไมต้องสวมหน้ากาก ที่สำคัญ ยังเห็นเป็นเรื่องขำ เรื่องตลก ถ้าต้องสวมหน้ากาก

ที่สำคัญ ได้เห็นโฆษณารณรงค์ป้องกันไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ทางโทรทัศน์ บ้านเราแล้วเศร้าใจ เพราะเริ่มเรื่องด้วยเรื่องการป้องกันไข้หวัดแบบง่ายๆ ขำๆ ตบท้ายด้วยรัฐมนตรีผู้เกี่ยวข้อง มาย้ำว่า "ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ป้องกันได้ครับ"
ผมว่า บอกคนดูไปอย่างง่ายๆ ตรงไปตรงมา ยังจะดีเสียกว่ามีการแสดงอะไรตลกๆ หรือนำชาวบ้าน หรือรัฐมนตรีมาพุดจา หรือการันตีว่ารักษาหาย ผมว่าเอาคลิปวิดีโออันแรก มาย่อแล้วฉายแทนโฆษณา ยังจะได้ประโยชน์มากกว่า เพราะจะทำให้เรารู้ที่มาที่ไปของโรค สาเหตุของการแพร่เชื้อ อันเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องสวมหน้ากาก ล้างมือ ทานอาหารร้อน ใช้ช้อนกลาง
เมื่อเรารู้จักโรค รู้จักสาเหตุการแพร่เชื้อโรค การติดต่อ และการป้องกัน เราก็จะไม่ตื่นตระหนกเมื่อโรคร้ายนี้แพร่กระจายในบ้านเมืองเราเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นในขณะนี้ และยังจะสามารถช่วยกันป้องกันโรคร้ายนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ย้อนกลับไปอ่านคู่มือป้องกันโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ ที่ผมไปได้แผ่นพับมาจากฮ่องกง เป็นภาษาไทย ได้ที่ http://kokoichi.blogspot.com/2009/05/human-swine-influenza.html

29 May 2009

ไอ้หน้าโง่!

เพลง: รักยาก ลืมยาก
ขับร้อง: เบล สุพล
อัลบั้ม: Sleepless Society 3


ที่ทุกคืนเป็นเช่นนี้ ต้องมานอนก่ายหน้าผาก
เกิดจากอะไรนะหรือ รู้ดีอยู่แก่ใจ
ทั้งๆที่จบไปนานแล้ว เลิกไปนานแล้วยังไม่ห้ามใจ
ยังคิดถึงเธอ คิดให้ปวดใจ

ไม่มีใครทำร้าย ให้ใจสลาย ทุกอย่างเกิดเพราะฉันเอง
ไม่มีใครข่มเหง ให้เจ็บให้เป็นอย่างนี้

เพราะฉันมันโง่เอง..ที่ยังรักเธอ
โง่เอง..ที่ยังฝังใจ
ไม่เคยทำใจ ไปจำอะไรที่ควรจะลืม
เพราะฉันลืมยากเอง..
จะไปโทษใคร ยากเอง..ที่จะรักใคร
เลยต้องเดียวดาย หลับตาไม่ลงอย่างนี้
เพราะเป็นคนแบบนี้ นิสัยไม่ดีแบบนี้ ถึงรักใครไม่ได้เลย

ทั้งที่ตัวเองก็รู้ ไม่มีทางจะเริ่มใหม่
อย่ามัวไปคอยอะไร ที่เลือนลางอย่างนี้
เลิกบ้าเลิกอยู่กับความหลัง หยุดเถอะพอแล้วใจ พอสักที
อย่าไปรักเธอ รักให้เหนื่อยหัวใจ

ไม่มีใครทำร้าย ให้ใจสลาย ทุกอย่างเกิดเพราะฉันเอง
ไม่มีใครข่มเหง ให้เจ็บให้เป็นอย่างนี้

เพราะฉันมันโง่เอง..ที่ยังรักเธอ
โง่เอง..ที่ยังฝังใจ
ไม่เคยทำใจ ไปจำอะไรที่ควรจะลืม
เพราะฉันลืมยากเอง..
จะไปโทษใคร ยากเอง..ที่จะรักใคร
เลยต้องเดียวดาย หลับตาไม่ลงอย่างนี้
เพราะเป็นคนแบบนี้ นิสัยไม่ดีแบบนี้ ถึงรักใครไม่ได้เลย

---------------------------------------------

แว่วได้ยินเพลงนี้มานานมากละ ชอบทุกครั้งที่ได้ยิน แต่ก็ไม่ได้สนใจค้นหา
วันนี้นึกขึ้นได้เอง เลยลองหาเพลงนี้ ก็เพิ่งรู้ว่าอยู่ใน iTunes มานานนมเช่นกัน
ที่สำคัญเพิ่งหาเนื้อร้องมาอ่าน....โหยยยย!

ฆ่ากันให้ตายเลยดีกว่า!!

ไอ้หน้าโง่ !!! T_T


27 May 2009

white crape และข้าวผัดรสเด็ด


มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างมากมายเหลือเกิน กับความอร่อยของร้านอาหาร บนชั้น 1 อาคารมณียาเซ็นเตอร์ เพลินจิต กรุงเทพฯ
ร้านนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลออฟฟิตที่ผมทำงานอยู่ และเป็นร้านเจ้าประจำของคนที่ออฟฟิต และอีกหลายๆ คนที่ทำงานอยู่ในตึกนั้น แต่ความไม่ธรรมดา มาจากกระแสปากต่อปาก ร่ำลือกันจากเพื่อนฝูงของคนในออฟฟิต ลุกลามไปเป็นไฟท่วมทุ่ง ถึงความเด็ดของ 'ข้าวผัดปลาทู'
White Crape เริ่มแรกก็ขายเครป ชา กาแฟ และน้ำผลไม้ปั่น ตั้งอยู่ติดกับบันไดเลื่อนโบราณของอาคารมณียา แต่ขายแค่เครปนี้ดูท่าจะเงียบเหงาไปหน่อย ก็เลยเพิ่มเมนูอาหารกลางวันแบบง่ายๆ นิดๆ หน่อยๆ แต่บงเอิญว่าเด็ด ก็เลยเพิ่มเมนูอาหาร และขยายเวลาจำหน่ายอาหารไปจนถึงเย็น

อาหารมีทั้งแบบที่เป็นเมนูประจำ และแบบที่เป็นเมนูหมุนเวียนให้ตื่นเต้นเล่น เมื่อก่อนมีเส้นหมี่หมูย่าง ก็อร่อยใช้ได้ ตอนหลัง อยากสั่งอะไรก็มีให้แทบจะกลายเป็นอาหารตามสั่ง เอาเป็นว่าเท่าที่จำเมนูได้ ก็เป็นเมนูที่เหล่าเพื่อนฝูงทานเมื่อกลางวัน สุกี้แห้ง สปาเก็ตตีครีมซอส ข้าวต้มหมูสับ ยำอะไรสักอย่าง และเมนูของภาพบน 'ข้าวผ้ดพริกเผากุ้ง' (มีหมูด้วย) รสชาติออกหวานอมเผ็ดจากน้ำพริกเผา กลมกล่อมได้ที่ เคล้ากับแครอทหันแบบลูกเต๋า และคะน้าฝอย ก็ใช้ได้ แต่ถ้าหวังว่าจะเผ็ดนำ ก็เสียใจด้วย
เมนูเด็ดที่เป็นที่กล่าวขวัญของคนในวงการ แบบที่ละปากสองปาก คือ 'ข้าวผัดปลาทู' กลายเป็นเมนูประจำของผมไปแล้ว มีให้เลือกแบบข้าวขาวและข้าวกล้อง เคล้ากันอย่างลงตัวกับเนื้อปลาทูแบบไม่อั้น! (ไม่ใช่เนื้อปลาทูทั้งตัว แต่ก็เยอะมากล่ะฟระ) ตามด้วยผักกะหล่ำหั่นฝอยเยอะแยะ หอมแดง และต้นหอมซอย เพิ่มความแซ๊บด้วยพริกขี้หนูฝอยและพริกชี้ฟ้าแห้ง สำหรับคนชอบรสจัดจ้าน (แต่ไม่ใชเผ็ดจัดจ้านนะ) ก็ต้องเลิฟจานนี้ สำหรับผมก็ต้องเขี่ยพริกออก
บีบมะนาวฝานที่เขาจัดมาในจาน หรือเติมพริกขี้หนูจากพริกน้ำปลาก็แล้วแต่ความชอบ ที่นี่ข้าวผัด หรืออาหารจานแห้ง เขาจะจัดมาพร้อมน้ำซุปถ้วยเล็กๆ ยกซดทุกที และแน่นอน ทานหมดเกลี้ยงจานทุกครั้ง ไม่เหลือข้าวสักเม็ด เว้นไว้ก็แต่พริกทั้งสองสปีชี่ส์
ชอบแต่ก็ไม่ทานทุกมื้อ เพราะดูจะขี้เกียจเดินไปหาไรทานแถวนี้ไปนิดนึงนะ

26 May 2009

โมโหมาก

เมื่อวานมีเรื่องให้โมโหมากถึงมากที่สุด
เคยมั้ยครับที่ถูกเอาเปรียบแบบแย่ๆ ปกติไม่ค่อยจะเป็นคนโวยวายอะไรคนอื่นถ้าไม่จำเป็นจริงๆ แต่คราวนี้ เดินไปแหกกลางร้าน เพราะอะไรหรอครับ จะเล่าให้ฟัง
เมื่อวานกลางวัน ไปทานข้าวกับน้องที่สนิทสนมกัน เพราะเขาเอาของเล่นมาฝาก เลือกทานข้าวกลางวันที่ ฟู้ดลอฟต์ เซ็นทรัล ชิดลม ปกติก็จะทานเฝอเนื้อเป็นเมนูประจำ แต่วันนี้ อยากทานอย่างอื่นบ้าง ก็ด้อมๆ มองๆ เห็น เส้นหมี่ผัดเป็ดย่าง ของร้านอาหารจีนที่เขาทำโชว์ไว้ดูน่าทานดี ราคาจานละ 120 บาท ก็เลยสั่ง "อีก 7 นาทีให้พนักงานมารับได้ครับ" พนักงานร้านอาหารผู้รับออเดอร์บอกผม แต่ไม่รู้จะทำอะไร ก็เลยเดินวนไปมา เผื่อมีอะไรน่ากินอีก ระหว่างนั้นก็มีคนแวะเวียนมาแล้วก็สั่งเมนูเดียวกับผม ประมาณ 2-3 คน จากนั้นผมก็ไปนั่งประจำที่
ให้บัตรรับอาหารแก่พนักงาน เพื่อไปรับเส้นหมี่ผัดเป็ดย่างที่สั่งไว้ สักครู่พนักงานเดินกลับมาพร้อมจานอาหาร เห็นหน้าค่าตาก็ดูงงๆ เพราะไหงมีแต่เส้นเสียส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่คิดมาก เพราะของจริงกับของที่เขาทำเป็นตัวอย่างมักไม่เหมือนกัน
ผมมีนิสัยเหมือนเด็กๆ คือชอบทานเส้นก่อนทานเครื่อง ยิ่งเห็นเส้นเยอะแยะก็เลยขอจัดการเส้นไปบางให้ปริมาณเส้นกับเนื้อเป็ดมันดูสมดุลกันบ้าง สักพักก็รู้สึกเอ๊ะใจกับอะไรบางอย่าง เพราะเส้นหมี่เริ่มพร่อง
ได้เห็นโฉมของเครื่องที่เขาใส่มาให้ในจาน เส้นหมี่ผัดเป็ดย่าง แทบช้อก พร้อมสะกิดน้องให้มาดูในความ 'มักง่าย' เพราะในจานนั้น มีเส้นหมี่กองโต เห็ดหอมหั่นเป็นเส้นๆ จำนวนหนึ่ง ประมาณ 5-7 ชิ้น ความหนาประมาณชิ้นละ 5 มิลลิเมตร ความยาวก็เท่ากับเห็ดหอมขนาดปกติ
แต่ไอ้จุดขายของอาหารจานนี้น่ะสิ เป็นย่างเป็นเส้น ความหนาราวชิ้นละ 5 มิลลิเมตร ความยาวประมาณ 3 เซ็นติเมตร จำนวน 3 ชิ้น!!!!!

ไม่ได้อ่านผิดครับ 3 ชิ้นเท่านั้น! ลืมบอกไปว่าผมเป็นคนที่จะค่อยๆ โมโห ไม่ใช่แหกปากทันทีทันใด ตอนนั้นรู้สึกว่า ทานมาครึ่งจานแล้ว คงไปเรียกร้องขอคืนคงไม่ดี ก็จำใจทานไป แต่ในใจก็เริ่มคิดว่า ทำไมผมต้องโดนเอาเปรียบขนาดนี้ แล้วจะไม่ทำอะไรบ้างเลยหรอ
ทานหมดจานก็พอดีความโมโหก็ถึงขีดสุดพอดี (แย่เนอะ) เลยขอเดินไปบอกให้เขารู้ ไปถึงร้าน ก็ไปถามพนักงานรับออเดอร์ร้านอาหารจีน ถามเขาว่า เส้นหมี่ผัดเป็ดย่างนี่ ทำรวมกันหลายๆ ออเดอร์ในครั้งเดียวหรือไม่ เพราะเมื่อครู่ หลังจากที่ผมออร์เดอร์ไป ก็มีคนออเดอร์ตามอีกสองสามราย พนักงานคนนั้นตอบว่า (ไม่รู้เพราะตกใจหรือเปล่า ที่จู่ๆ มีใครโพล่งคำถามนี้ แต่คำตอบเด็ดกว่า) "ไม่นะครับ"

เท่านั้นแหละ สติก็หลุดผึง บอกไปว่า ถ้าไม่ทำรวมกันทีเดียว แล้วเส้นหมี่ที่ผมสั่งไป มีเป็ดย่างแค่ 3 ชิ้นเท่านั้นหรือ พนักงานก็ทำเสียงงงๆ ถามผมว่า "เป็ดเส้นน่ะหรอครับ"... "ก็ใช่น่ะสิ จานนึงมีแค่สามชิ้นหรืองัย" ผมตอบเสียงดัง
"ถ้าเช่นนั้นผมทำให้ใหม่ครับ" พนักงานบอก "ไม่ต้อง เพราะผมสังเกตเห็นตอนทานไปบ้างแล้ว" ผมตอบ
"ถ้างั้นผมไม่คิดเงินจานนี้ละกันครับ" พนักงานแก้ปัญหาให้ผม "ไม่ต้องครับ ผมจ่ายให้ได้ แต่จะบอกให้ร้านคุณทราบว่า คุณขายของอย่างนี้ได้ไม่ได้ อาหารจานนี้ราคาจานละ 120 บาทนะครับ ไม่ใช่จานละ 10 -20 บาท หวังว่าคงไม่มีอะไรแบบนี้อีก" แหกปากเสร็จ ก็เพิ่งรู้ตัวว่าคนมองกันเต็มเลย (หุหุ) - ไม่แคร์!
เสียดายที่คราวนี้ลืมถ่ายรูปเส้นหมี่จากนั้นมาให้ชม เพราะมัวแต่โมโห แต่ที่เอามาเล่าให้ทราบนี้ ไม่ได้ให้ไปแอนตี้ฟู้ด ลอฟต์ นะครับ (จริงๆ ร้านอาหารจีนร้านนี้ขายแพงมาตลอดอยู่ละ) แค่อยากให้คุณผู้อ่านได้ทราบไว้ และต้องคอยสังเกตดูว่าร้านอาหารร้านนี้จะยังทำแบบที่ทำกับผมอีกหรือเปล่า
เพราะผมว่าผมแหกปากเสียงดังไปแล้ว ถ้าเขายังไม่ปรับปรุงอะไรเลย แถมยังดื้อจะทำอาหารแบบมักง่าย ผัดหมี่แบบเหมาเข่ง ที่ทำออกมาได้หลายจาน แต่ราคาจานละ 120 บาท มันเหมือนผัดหมี่ร้านอาหารข้างทาง ทั้งที่ฟู้ดลอฟต์ เขาได้ชื่อว่าเป็นฟู้ดคอร์ตฉบับสุดหรู แต่ถ้ายังมีร้านอาหารที่ทำอาหารให้ลูกค้าทานแบบนี้ หรือยังทำอะไรมักง่ายแบบนี้ต่อไป ก็ขอความกรุณาทางห้างเซ็นทรัล ช่วยย้ายร้านอาหารจีนร้านนี้ออกไปขายข้างถนนจะดีกว่า อย่าให้ลูกค้าเขาเสียความรู้สึกไปกับทั้งฟู้ด ลอฟต์ ปลาตายตัวเดียวแต่เหม็นไปทั้งคอก

บอกได้คำเดียวว่า 'อุบาทว์!'

25 May 2009

อาหารบนเครื่องบิน

ถึงเวลาหม่ำกันละ เริ่มต้นด้วยการหม่ำบนเครื่องบิน คราวนี้นั่งชั้นบิซิเนส ของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก เครื่องเก่าได้ใจ เบาะนั่งไม่ต่างจากบิซิเนส การบินไทย รุ่นเก่าเช่นกัน ขาไปฮ่องกง คือมื้อเช้า อาหารก็เลยเช้าไปด้วย ดังรูปบน ประกอบไปด้วย ผลไม้ โยเกิร์ต ขนมปัง (เลือกครัวซองต์) และเมนครอส ที่เลือกไว้เป็นอาหารที่เชฟแนะนำ คือปลาเปรี้ยวหวาน (ที่ออกหวานจัด) ข้าวสวย และผักต่างๆ ก็ไม่เลว แต่ก็ไม่เลิศ
ความต่างกันอีกอย่างของอาหารบิซิเนสคาเธ่ย์ และการบินไทยคือ เวลาเสริฟ์เมนครอส ของการบินไทย จะนำรายการอาหารมาให้เลือกว่าจะเอาอะไรดี ตอนเสิร์ฟ ก็จะประเคนมาให้ตามที่ขอ ซึ่งก็จะไม่รู้ว่าที่เหลือน่าตาน่ากินอย่างไร แต่คาเธ่ย์ จะเอาเมนูมาให้อ่านเฉยๆ ถึงเวลาก็จะเข็นรถ พร้อมอาหารทุกรายการมาทั้งเซ็ต เลือกตามสะดวกว่าอยากทานอะไร ซึ่งก็ดี เพราะได้เห็นจะจะ ว่าอะไรน่าหม่ำ แต่ที่ไม่ดีก็คือเหล่าแอร์ฯ มาพร้อมหน้ากากกันเชื้อโรคน่ะสิ แล้วไอ้อาหารที่วางหลาบนรถเข็นละ ...ก็ตัวใครตัวมัน
มื้อกลับกรุงเทพ ที่นั่งก็เก่าเยินอีกเช่นกัน อาหารเป็นอาหารค่ำ เพราะเครื่องออกตอนสี่ทุ่ม ก็มีสลัดผัก ขนมปัง (เลือกขนมปังกระเทียม) และเมนครอส ก็เลือกอาหารเชฟแนะนำอีกเช่นเคย คราวนี้มาเป็นอกไก่อบชิ้นโต ผัก และมันฝรั่งที่หน้าตาดูคล้ายข้าว อกไก่เนื้อนุ่มมากมาย เข้ากับน้ำซอสที่อยู่ข้างใต้ ที่ชอบคือหนังไก่บางและนุ่มเหนียว อร่อยอย่างแรง ตบท้ายด้วยไอศกรีม ฮาเก้นดาสท์

ยัมมี่!!

23 May 2009

ไข้หวัดหมูในมนุษย์ (Human Swine Influenza)


เก็บตกจากทริปฮ่องกง ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอเอกสารนี้ ร่วมกับอีกหลายๆ ภาษา ฯ ที่สาธารณะกลางใจฮ่องกง แสดงให้เห็นว่าทางรัฐบาลฮ่องกงเอาจริงเอาจังกับโรคร้ายนี้ คงเพราะครั้งหนึ่งฮ่องกง เผชิญกับโรคซาร์ส และไข้หวัดนก จนทั้งเมืองแทบจะร้าง คราวนี้ก็ขอให้ไม่พลาดซ้ำสอง สาม สี่ ...
ที่ฮ่องกงพบเห็นคนสวมหน้ากากได้ทั่วไป อาจะไม่มาก แต่ก็เจอเรื่อยๆ ยิ่งสนามบิน และบนเครื่องบินก็สวมกันทั่วหน้า จนวิตกไปด้วยคน ส่วนบ้านเราก็... เอ่อ... จะบอกอย่างไรดี ที่ญี่ปุ่น เพียงวันแรกที่พบผู้ป่วยไข้หวัดหมูในโกเบ หลังวันที่ 2 พฤษภาคม ที่มีการแข่งวอลเลย์บอลระดับไฮสกูล จนวันนี้พบผู้ติดเชื้อแล้วถึง 279 (ตัวเลขเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม) ทั่วภูมิภาคคันไซ โดยมีศูนย์กลางที่โกเบ รวมทั้งโอซาก้า ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดหมูรายแรกในโตเกียวเมื่อวานซีน
...ซึ่งก็คือมันระบาดไวมาก และที่ทราบจากข่าวก็คือ ระยะฟักตัวของเชื้อนี้คือประมาณหนึ่งอาทิตย์ ฉะนั้นเราจะไม่ทราบว่าติดเชื้อในระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ ซึ่งก็แพร่เชื้อไปไหนต่อไหน อย่างที่เกิดที่ญี่ปุ่นเวลานี้

เห็นว่าเอกสารที่เก็บมาจาก Centre for Helth Protection (http://www.chp.gov.hk/) ของทางการฮ่องกง เป็นประโยชน์ต่อชาวไทย จึงขออนุญาติลอกมาให้อ่านกัน
ไข้หวัดหมูในมนุษย์
ภูมิหลัง
มีรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อไข้หวัดหมูสายพันธุ์ A/H1N1 (ไข้หวัดหมู) เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศเม็กซิโก และประเทศต่างๆ จำนวนมาก ไว้รัสไข้หวัดใหญ่หมูนี้ แต่เดิมเป็นที่ทราบกันดีว่า แพร่ระบาดในหมูและมีการแพร่เชื้อไปสู่มนุษย์บ้าง แต่ในเวลานี้เกิดการแพร่ระบาดไวรัสไข้หวัดหมูไปทั่วโลก และเป็นการแพร่เชื้อจากมนุษย์ไปสู่มนุษย์ด้วยกันเอง
ลักษณะอาการ
อาการของไข้หวัดหมูในมนุษย์นั้นมักจะคล้ายกับอาการไข้หวัดใหญ่ธรรมดาในมนุษย์ที่ติดเชื้อตามฤดูกาล ซึ่งได้แก่ มีไข้ เซื่องซึม ไม่อยากอาหาร และไอ บางคนที่ติดเชื้อไข้หวัดหมูอาจมีอาการน้ำมูกไหล เจ็บคอ คลื่นไส้ อาเจียน และท้องร่วงร่วมด้วย
วิธีการติดต่อ
การติดเชื้อไข้หวัดหมูในมนุษย์สู่มนุษย์คาดว่าเกิดขึ้นในทำนองเดียวกับการติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ธรรมดา ที่แพร่ระบาดในหมู่ผู้คน นั่นคือ โดยหลักๆ แล้วเกิดจากการไอหรือจาม นอกจากนี้ผู้คนอาจได้รับเชื้อจากการสัมผัสวัตถุที่มีเชื้อไวรัสไข้หวัดปนเปื้อนอยู่ และจากนั้นไปสัมผัสกับจมูกปากของตน
ไม่มีรายงานว่ามีการติดเชื้อไข้หวัดหมูสู่คนผ่านการรับประทานอาหารจำพวกเนื้อหมู หรือผลิตภัณฑ์จากหมูที่มีการจัดการและการปรุงสุกอย่างเหมาะสม การปรุงเนื้อหมูให้สุกภายในอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส (160 องศาฟาเรนไฮน์) ทำให้เชื้อไว้รัวไข้หวัดหมูตาย
การควบคุม
ผู้ที่เริ่มมีอาการไข้หวัดใหญ่ ควรสวมผ้าปิดปากและพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ผู้ที่ไปยังสถานที่ที่มีการติดเชื้อ หรือได้คลุกคลีกับผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงสถานที่ที่เคยเดินทางไป และประวัติการสัมผัสเชื้อ
ยาต้านไวรัสสามารถลดความรุนแรง และระยะเวลาของการเจ็บป่วยลงได้ แต่ต้องใช้ตามใบสั่งแพทย์ 'จะต้องไม่ซื้อยามาใช้เองโดยเด็ดขาด'

การป้องกัน
เนื่องจากไวรัสไช้หวัดหมูสายพันธุ์ H1N1 แตกต่างไปจากไวรัส H1N1 ในมนุษย์อย่างมาก วัคซีนสำหรับรักษาไข้หวัดธรรมดาในมนุษย์จึงไม่ให้การป้องกันเชื้อไวรัสไข้หวัดหมูสายพันธุ์ H1N1 แต่อย่างใด
ประชาชนควรปฏิบัติตามมาตรการป้องกันล่วงหน้าต่อไปนี้:
  • รักษาความสะอาดมือ และล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ การใช้น้ำยาเช็ดมือที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ก็ได้ผลเช่นกัน

ในยามที่มือปนเปื้อนกับสิ่งสกปรกที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ควรจะ

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสปาก จมูก หรือตา
  • ล้างมือด้วยสบู่เหลวโดยทันทีหากมือปนเปื้อนสารคิดหลั่งจากระบบทางเดินหายใจ เช่นหลังจากจามหรือไอ
  • ปิดจมูกหรือปากเมื่อจามหรือไอ
  • ไม่ถมน้ำลาย และใช้กระดาษทิชชู่ปิดจมูกและปากก่อนบ้วนน้ำลาย และทิ้งกระดาษทิชชู่ลงในถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด
  • สวมผ้าปิดปากเมื่อมีอาการทางระบบทางเดินหายใจ หรือเริ่มมีไข้ แล้วไปพบแพทย์โดยทันที
  • ไม่ไปทำงาน หรือโรงเรียน หากคุณมีอาการคล้ายไข้หวัด

หลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังสถานที่ที่มีการติดเชื้อ ยกเว้นถ้ามีความจำเป็นจริงๆ ซึ่งหากไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ควรจะ

  • ในระหว่างการเดินทาง - สวมผ้าปิดปาก และไม่สัมผัสกับผู้ป่วย
  • หลังจากกลับมาจากการเดินทาง - ใส่ในใจสุขภาพของตนเองอย่างใกล้ชิด และสวมผ้าปิดปากเป็นเวลา 7 วัน และรีบปรึกษาแพทย์ในคลีนิคหรือโรงพยาบบาลของรัฐโดยทันที หากมีอาการคล้ายไข้หวัดปรากฏ

(ข้อมูลวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2552)

ติดตามสถานการณ์ข่าวคืบหน้าของไข้หวัดหมูของกระทรวงสาธารณสุข ได้ที่ http://beid.ddc.moph.go.th/th/index.php?option=com_content&task=view&id=419303&Itemid=199

17 May 2009

มันมาพร้อมBTS!!

ความจริงจะเขียนเรื่องรถไฟฟ้าฝั่งธนฯวันแรก เพราะรู้สึกเห่ออย่างออกหน้าออกตา เพราะรอมานานแสนนาน วันนี้ก็เป็นจริง อีกอย่างหนึ่งที่เลิฟไปกว่านั้นคือบันไดรถไฟฟ้าเทียบหน้าบ้าน สิบก้าวก็ถึงบันไดรถไฟฟ้า หุหุ
สองเรื่อง ที่ทำใจก่อนที่รถไฟฟ้าจะเปิด คือหนึ่ง หน้าบ้านจะต้องมีรถไม่ได้รับเชิญ ที่เข้าใจว่าหน้าบ้านเป็นที่จอดรถสาธารณะ แล้วก็มีจริงๆ สินะ ทั้งที่แถวบ้านก็ไม่ได้จะมีตึกสำนักงานอะไร ให้รถจอดล้นออกมาเสียหน่อย และสอง จะได้เห็นเหล่าคุณแท็กซี่ทั้งหลายมาจอดรถดักผู้โดยสาร แต่จะไปไม่ไปก็อีกเรื่องหนึ่ง
ว่าแล้ว เช้าวันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม ออกจากบ้านราว 9.45 น. ก็มีรถแท็กซี่จอดรอผู้โดยสารดังว่า พร้อมรถรายงานข่าวของช่องอะไรไม่แน่ใจ 11 หรือ itv (ขออภัย สองช่องนี้เปลี่ยนชื่อจนจำชื่อล่าสุดไม่ได้ และไม่ใส่ใจจำอีกแล้ว) ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
แต่ขากลับบ้าน ราว 5 ทุ่มนี่สิ ทางลงรถไฟฟ้า ซึ่งก็คือหน้าบ้าน มีวินมอเตอร์ไซต์มารอผู้โดยสารเต็มพื้นที่ และเสื้อวินตัวใหม่ ซอยกรุงธนบุรี2 (สถานีวงเวียนใหญ่) แต่ไหงมาอยู่หน้าบันไดรถไฟฟ้า ไม่ไปอยู่หน้าซอย 2 ทั้งที่ช่วงหน้าบ้านของผม เหมือนเป็นลานขนาดย่อม แค่รถยนต์ของสามบ้าน และรถตัวแถมจากไหนไม่รู้ ก็อึดอัดแย่ละ นี่มีวินมอเตอร์ไซด์ แท็กซี่ และคนลงรถไฟฟ้ายืนรอรถเป็นระยะๆ ดูอึดอัดพิกล ขณะที่หน้าซอย 2 มีพื้นที่กว้างกว่า และส่วนใหญ่เป็นห้องแถมไม่มีคน หรือร้านอินเตอร์เน็ต ที่น่าจะเหมาะแก่การไปอยู่ตรงนั้นมากกว่า ซึ่งก็ไกลกว่ากันไม่กี่สิบก้าว อึดอัดชะมัด ที่มีวินมอเตอร์ไซต์มายืนหน้าบ้าน แล้วดูเราเปิดประตูเข้าออกบ้าน แค่คนลงรถไฟฟ้ามองดูก็อึดอัดละ

รุ่งขึ้น วันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม เปิดประตูบ้านตอนบ่าย แทบกรี๊ด เพราะวินมอเตอร์ไซต์ จากที่เห็นกลางคืนราว 5-6 คน ตอนนี้มีกว่าสิบคนสิบคัน หน้าบ้านตอนนี้กลายเป็นที่วางป้ายคิว ป้ายราคาเดินทาง และตะกร้าปริศนา รวมทั้งเป็นที่พักในร่มของเหล่าวิน ทั้งที่หน้าบ้านก็มีป้ายห้ามจอด และไม้กั้นกันรถจอดหน้าบ้าน แต่นี่ มีทั้งมอเตอร์ไซด์ และวิน
ไม่แค่นั้น ขากลับจากสีลม ลงจากรถไฟฟ้า ก็ต้องเจอเสียยิ่งกว่างานวัด เพราะนอกจากเหล่าวินมอเตอร์ไซด์ ผู้โดยสารรอรถ ก็ยังมีรถตู้ และคนของคิวรถตู้ มาเปิดโทรโข่งเชิญคนขึ้นรถตู้ เสียงดังลั่น บนถนนก็มีรถตู้จอดรออยู่คันสองคัน ที่เยอะก็คือแท็กซี่และสามล้อจอดเรียงรายยาวไปจนเกือบถึงหน้าซอย 4 จากรูปที่สามและสี่ จะเห็นได้ว่า ตรงนั้นเป็นจุดสุดของทางคู่ขนาน ถัดไปอีกนิด ก็เป็นปากซอย 4 ที่ปกติสมัยก่อน ก็เกิดอุบัติเหตุแถวนั้นเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะรถมักวิ่งแฉลบออกจากคู่ขนานไปเลนขวา หรือไม่ก็ชนกันตอนออกจากซอย 4 เพราะถนนมีอยู่เลนเดียว

คราวนี้แท็กซี่ผู้แสนมักง่ายก็จอดเรียงรายกันไปจนกินเลนเดียวของทางคู่ขนาน ถ้าไม่ทำให้รถออกจากคู่ขนานไม่ได้ ก็ต้องบังคับให้รถเบี่ยงออกจากคู่ขนาน ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุมาก ผมคิดว่าไม่ช้าไม่นาน ต้องมีอุบัติเหตุแน่นอน เพราะนี่ขนาดวันเสาร์ รถแท็กซี่ยังออกันขนาดนี้ วันธรรมดาย่อมมากกว่านี้แน่นอน
เมื่อรวมทั้งหมดแล้ว ความวุ่นวายที่หน้าบ้านก็บังเกิด จากที่เคยเงียบสงบ ก็มีครบหมด เหมือนปาร์ตี้เหล่ากรรมาชน บวกกับงานวัด ผมไม่ได้แอนตี้พวกเขาหรอกนะ แต่การสร้างความวุ่นวาย และไร้ระเบียบแบบนี้ก็ไม่ไหว กลายเป็นการรบกวนกันเปล่าๆ ทั้งที่ก่อนจะเปิดรถไฟฟ้า ก็ไม่เห็นมีใครสักตัวมาขออนุญาติผู้อยู่อาศัยกันสักคำ พอรถไฟฟ้าเปิดปุ๊บ ไอ้ที่ไม่เคยมี ไอ้ที่ไม่เคยโผล่มารับเวลาจะต้องเดินทาง ก็มาออกันอยู่หน้าบ้านเป็นสิ่งไม่ได้รับเชิญที่มาพร้อมรถไฟฟ้า
ปล. วันอาทิตย์บ่าย โผล่หน้าจากหน้าต่างบ้าน ก็ไม่มีเหล่าวินมอเตอร์ไซต์แล้ว เหลือบดูก็จะเห็นคุณตำรวจมายืนจัดการอยู่ใกล้บ้าน ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ทำให้เหล่าความวุ่นวายเช่นนั้นออกไปพ้นบริเวณบ้านด้วยครับ

06 May 2009

คิดจะทำ

(photo by K. Sakai)
เห็นพ็อกเก็ตบุ๊คนำเที่ยวญี่ปุ่นหลายเล่มที่วางขายในร้านหนังสือขณะนี้ เหมือนจะมีแต่ญี่ปุ่นทั่วประเทศ หรือไม่ก็เฉพาะกรุงโตเกียว จะมีบ้างหรอมแหรมคือเกียวโต
สำหรับโตเกียวนั้น ผมเชื่อว่ามีนักเขียนหลายท่านให้ข้อมูลพาเที่ยวทะลุปรุโปร่ง แม้ความจริงโตเกียวเปลี่ยนไปเร็วไว ต้องอัพเดตกันแทบทุกไตรมาส ทว่าที่หลายเล่มนำเสนอก็ครบถ้วนสมบูรณ์แบบแล้ว ที่เหลือก็ต้องอัพเดตกันเอาเองบ้าง อยู่ที่ว่าอยากได้อารมณ์นำเที่ยวแบบใด แบบชนิดเที่ยวครั้งแรก เที่ยวตามทัวร์ หรือเที่ยวแบบอยู่นานๆ เดินเรื่อยเปื่อย ช้อปปิ้ง หรือยลงานศิลปะ เหล่านี้มีผู้รู้เขียนไว้แล้วทุกแบบ ผมเองก็เคยแนะนำไปหลายเล่มเหมือนกัน เดี๋ยวจะเอาลิ้งค์มาแปะให้ตามอ่านกันนะ
แต่สำหรับเมืองอื่นๆ ของญี่ปุ่น จะหาได้เป็นเรื่องสั้นๆ ตามไกด์บุ๊คญี่ปุ่นทั้งประเทศ ทั้งที่ความจริง แต่ละเมืองก็น่าสนใจมิใช่เล่น ยิ่งตอนนี้สายการบินไทยตลอดจนทัวร์ไทยเองก็เลือกที่จะลง/กลับ ที่สนามบินนาริตะ และกลับ/ลง ที่สนามบินคันไซ ซึ่งก็ต้องผ่านทั้ง เกียวโต นารา โอซาก้า และโกเบ เป็นธรรมเนียม แต่เมืองเหล่านี้กลับไม่ค่อยมีใครเขียนถึงเท่าไหร่
ก็ด้วยความที่ไปโอซาก้า และโกเบ ค่อนข้างบ่อย และอยู่ค่อนข้างนาน ขณะที่น้องที่เคยทำงานออฟฟิต (ตอนนี้เป็นเจ้าของกิจการเสื้อยืดศิลปิน ในนาม Tommy BEANS) มีคนรู้ใจเป็นชาวเมืองเกียวโต และมักไปขนของมาขายอยู่เนืองๆ
เลยมาคิดกันเล่นๆ ว่าน่าจะลองเขียนหนังสือท่องเที่ยวเขตคันไซซะเลย (อันที่จริงก็ไม่คันไซหรอกนะ แค่โอซาก้า โกเบ และเกียวโต ก็แย่ละ) หรือไม่ก็แค่โอซาก้า กันไปเลย อันว่าโอซาก้า เป็นเมืองใหญ่อันดับสอง รองจากโตเกียว ความเจริญก็รองจากโตเกียวและปริมณฑล ทั้งยังถือเป็นเมืองท่าการค้าที่สำคัญและใหญ่เป็นอันดับต้นของญี่ปุ่น ที่สำคัญมาโอซาก้า ต้องมาหม่ำให้หนำใจ
ตอนนี้ก็อยู่ในขั้นเจรจา ซึ่งก็หมายความว่า ยังไม่ได้ทำอะไรเลยนั่นเอง แต่ก็คงจะเริ่มๆ ในไม่ช้า คาดว่าไม่เกินปลายปีนี้คงรู้ผล
มีของดีอยู่ในมือแล้วทำไมจะไม่ปล่อยของล่ะ จริงมั้ยครับ

04 May 2009

อาถรรพ์

เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ไปเที่ยวเชียงใหม่ ก็ไปเที่ยวกลางคืนตามปกติ รวมทั้งสิ้น 3 คืน แต่ละคืนก็มีเรื่องราวเซ็งๆ เกิดขึ้น อย่างคืนแรก น้องในกลุ่ม ก็เหวี่ยงถังน้ำแข็งใส่โต๊ะข้างๆ ซะงั้น! คืนที่สองก็มีคนตีกันโต๊ะข้างๆ คืนที่สาม กิ๊กน้องในกลุ่มอีกคนก็เกิดวีนแตกโดยไร้สาเหตุ (แต่คาดว่าเพราะเมา)
ช่วงสงกรานต์เกิดเรื่องเหวี่ยงๆ รักๆ ใคร่ๆ ทำให้เซ็งๆ มากถึงมากที่สุด เหตุก็เพราะเที่ยวกลางคืนแล้วก็หลุดโน่นนี่นั่นโน่น ทั้งที่สาเหตุก็นิดเดียว ด้วยความซวยของการเที่ยวกลางคืน ก็เลยขอหยุดพักร่าง กอปรกับ (สาเหตุหลัก) ตั้งแต่เดือนเมษายน จนเข้าเดือนพฤษภาคม ตัวเลขผลประกอบการตัวเองติดตัวแดงเถือก หากยังซ่าเที่ยว ก็จะไม่มีเงินเก็บสำหรับสิ้นปีแน่นอนอย่างที่สุด ก็เลยหยุดเที่ยว
ล่าสุด ไปหัวหิน ตั้งใจอย่างแรงจะเที่ยวให้สนุก ทั้งงานฮอนด้า มิวสิค เฟต ไปจนถึงเที่ยวกลางคืนโน่นนี่ถ้าเวลาอำนวย ปรากฏว่า ห้องพักก็ไม่มี งานดนตรีก็แย่ อย่างที่เขียนถึงไปคราวที่แล้ว ก็เลยต้องถ่างตานั่งรถกลับบ้านในคืนนั้นอย่างทุลักทุเล และเหนอะหนะที่สุดเท่าที่เคยไปหัวหินถิ่นไฮโซ
ทั้งหลายทั้งปวงที่เล่ามา เป็นเรื่องของการเที่ยวกลางคืนโดยแท้ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิต ว่าจะแย่ถึงแย่มากที่สุดได้เพียงนี้ ก็เลยยืนและยันว่า ต้องละเลิกเที่ยวกลางคืน จนกว่าอะไรๆ จะดีขึ้น ...ซึ่งก็ยังไม่รู้เมื่อไหร่ แต่เอาเป็นว่าขอสัก 3 เดือนก็ท่าจะพอเหมาะพอควร
ใครกันนะ สาปแช่งข้าพเจ้าถึงเพียงนี้ ช่างร้ายกาจนัก!!!

03 May 2009

Brazilian Chicken Noodle

ซื้อบะหมี่กระป๋องมาหลายอัน ตั้งแต่เมื่อครั้งไปญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้วโน่น มีความสุขกับการได้เห็นบะหมี่กระป๋องหลากหลายแบบ และทุกครั้งก็จะเลือกซื้อรสแปลกๆ กลับมาลองหม่ำ หลายครั้งก็หม่ำไปตามปกติ แต่ไหนๆ บางรสก็อาจจะไม่ได้เจออีกแล้ว (ก็เป็นได้) เลยคิดจะนำมาบันทึกไว้
รสแรกที่นำมาให้ยล (อยากชิมด้วยมั้ยล่ะ) คือ Brazilian Chicken อ้อ... ลืมบอกไปว่าคัพนู้ดเดิ้ลญี่ปุ่นมีไซส์ Big ขนาดใหญ่กว่าปกติ ข้อมูลบนกระป๋องบอกว่า 400ml อิ่มเลย!
หน้าตาก็เช่นนี้ เนื้อไก่รมควัน (คิดว่านะ เพราะสีและรสชาติไม่เหมือนไก่ปกติ ออกเค็มนิดๆ) มันฝรั่ง ไข่
และผักอื่นๆ รสออกเค็มและมีกลิ่นหอมๆ คล้ายครีมนม อร่อยดี แต่ก็ไม่ถึงกับประทับใจมากมายนัก

Behind the Scene "Honda Music Fest @ Hua Hin 2009"

เบื้องหน้า

ไปหัวหินเที่ยวนี้แบบไม่เตรียมตัวใดๆ แค่มีคนชวนไป Honda Music Fest @ Hua Hin ก็ตกลงไป เพราะทุกครั้งไปหัวหินก็ชิวๆ ยังไงก็มีที่พักเกร๋ๆ และก็เลิฟหัวหินเป็นมากมาย
เดินทางตอนสาย ไปถึงหัวหินรถติดแสนติด ก่อนถึงวังไกลกังวลยาวไปถึงเขาตะเกียบ แถมที่พักราคาถูกเต็มหมด ยาวไปถึงชะอำ!!! ก็ช่างมัน เอาไว้คิดกันทีหลัง ว่ากันเรื่องทีหน้าดีกว่า ต้องไปร่วมงาน ที่เขาว่าปีที่แล้วเกร๋มาก ไปถึงซอยเขาตะเกียบ รถติดแสนติด ก็เลยต้องทิ้งรถไว้ข้างทาง เดินไปถึงหาดราว 40 นาที!! ก็ได้พบกับภาพที่เห็น คือคนแน่นมาก แม้จะมีคนทยอยออกเยอะมากเช่นกัน คนไปสัก 90% มีแต่เด็กแนว และผู้ใหญ่แนวๆ แน่ขนัดเต็มหาด
ไปถึงราวเที่ยงคืน พบว่าน้ำทะเลกำลังขึ้น จากเวทีบนหาด เริ่มกลายเป็นเวทีกลางน้ำ ก็มิได้หวาดหวั่น ผู้คนก็ยังเต้น เล่น กันในทะเลที่กำลังขึ้น อันนี้น่ากลัวมาก เพราะคนเริ่มเมา ให้ไปเต้นรำกันในน้ำ คิดได้งัย แม้จะไม่ลึกมาก แค่เข่า แค่อก แต่คนเมาก็ไม่มีความสามรถพอที่จะช่วยตัวเองได้ ไม่ทันขาดคำ ก็มีเจ้าหน้าที่ช่วยกันหามผู้บาดเจ็บขึ้นมาจากน้ำ ทราบว่าเมาแล้วหลับ จึงจมน้ำ มิรู้เป็นตายร้ายดี แต่ดนตรีก็ยังสนุกต่อไป!!
เบื้องหลัง
ไม่ได้คิดจะมองโลกในแง่ร้าย แต่เห็นกับตา แล้วก็ปลง ว่าขยะเกลื่อนเต็มหาด ยิ่งน้ำขึ้น น้ำทะเลก็พัดพาเอาขยะทั้งหมดมากองรวมกันบนหาด ที่เหลือก็ลอยเคว้งในน้ำที่เหล่าผู้รักในเสียงเพลงกำลังเต้นรำอย่างเพลิดเพลิน

ถ้าได้สติ จะรู้กันมั้ยนะว่า นอนกลิ้ง วิ่งเล่นกันในน้ำ ท่ามกลางกองขยะที่พวกคุณๆ ทำขึ้นมาเอง
สรุปก็คือ ไม่ใช่แนวดนตรีที่ชอบเลยสักนิด แร๊กเก้ บอซซ่า แบบโจ๊ะๆ ตามสไตล์เด็กและผู้ใหญ่แนว กะว่าจะไปนั่งดื่มกินชิวๆ ก็เจอผู้คนที่ว่ากันว่า ปีที่แล้วมากัน 100000 ปีนี้มา 250000 คน ล้นทะลักเกินจริงอย่างยิ่ง อดรนทนรอได้ไม่นานก็โบกมือลาดีกว่า กลับแบบไม่มีที่พักแถมเซ็งกับงานคราวนี้ เลยขออึดฮึดกลับกรุงเทพทันที!!
ก่อนกลับมีส้ม อมรา ขึ้นแสดงสไตล์สาวซ่าแบบงงๆ แว่วว่าปิดท้ายด้วย โจอี้ บอย ก็ยิ่งไม่ใช่แนวเราอย่างแรง จะว่าไปงานนี้ก็ดีกับการท่องเที่ยว แต่เกินกว่าจะรองรับแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกันนะ อย่างน้อย ก็ต้องไม่ให้เต้นรำในน้ำ และขยะต้องไม่มากมายมหาศาลเช่นนี้ ตลกกว่านั้นคือความไร้ระเบียบ ปล่อยให้รถน้ำแข็งของร้านค้าในงานมาจอดรถปิดทางเข้าออกซะงั้น ถ้าเกิดเรื่องเกิดราวอะไรไม่คาดคิด ก็ไม่อยากคิดว่าจะมีอะไรต่อไป
ชีวิตราคาแสนถูกจริงๆ
ปล. ไม่ได้คิดจะจับผิด แต่อยากให้ช่วยกันปรับปรุงดูแลสถานที่ท่องเที่ยวของพวกเราๆ ไม่ใช่แค่เที่ยวและเมาไปวันๆ หรือแค่ต้องการให้คนมากันเยอะๆ
หมายเหตุ... เอมี่ ไวน์เฮ้าส์ ก็มา แต่ออกจะเพี้ยนกว่าตัวจริง คิกคิก