07 July 2009

Sunday Morning at BangRak

ปกติเรื่องตื่นเช้า เหมือนเป็นเส้นขนานกับชีวิต ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่อยากตื่นแต่เช้าตรู่ ยิ่้งถ้าให้ออกจากบ้านก็ยิ่งจำเป็นสุดๆ แบบว่าต้องไปทำงาน
คืนวันเสาร์ดื่มไวน์เยอะไปหน่อย แต่แปลกเพราะควรจะหลับไม่ได้สติ ทว่าหลับไปไม่ถึงชั่วโมงก็ตื่น ...แล้วก็ไม่หลับอีกเลย! "เช้าแล้วนิ" ผมบอกกับตัวเอง เพราะแดดเริ่มส่อง เอางัยดีกับชีวิต กลิ้งไปมาอยู่บนเตียงไม่หลับเสียที ก็อย่ากระนั้นเลย ทำไมไม่หาอะไรดีๆ ทำดูบ้าง อะไรบ้าง - ว่าแล้วก็นึกอะไรออกอย่างหนึ่ง ...ใช่แล้วล่ะ ออกไปซื้อกระเพาะปลาบางรักท่าจะดี
ที่คิดแบบนั้นเพราะอย่างที่ทราบว่าหน้าบ้านก็คือสถานีรถไฟฟ้า สถานีที่สามก็เป็นสถานีสะพานตากสิน ซึ่งก็คือ บางรัก ...แน่นอน ตอนนี้อยู่ในระหว่างทดลองใช้บริการ สามสถานีนี้ก็เลยขึ้นลงฟรี จนถึงวันที่ 12 สิงหาคมนี้
ตื่นเช้าคงมีอะไรดีๆ อย่างที่เราไม่เคยได้เจอมาก่อนก็ได้มั้ง (เอ๊ะ ความจริงยังไม่หลับต่างหากนิ!)
สัมผัสแรกที่ปะทะความรู้สึกคือแสงแดดอ่อนๆ ย้อนกลับไปที่จะต้องตื่นเช้าเป็นประจำคือตอนไปโรงเรียน พอขึ้นมหาวิทยาลัย ก็จะต้องตื่นเช้าๆ แค่ปีแรกๆ พอทำงาน ก็ลืมไปเลยว่าตื่นเช้าเป็นอย่างไร
เดินขึ้นบนสถานีรถไฟฟ้าอย่างเรื่อยเปื่อย อาทิตย์เช้าดูไม่ต้องรีบเร่ง เป็นอย่างต่อมาที่รู้สึกได้ว่า ลืมเวลาเรื่อยเปื่อยนี่ไปนานแค่ไหน ...ก็คงตั้งแต่เริ่มทำงานมั้ง อย่างว่า สังคมเมืองก็ทำให้เราต้องเร่งชีวิตตามเข็มนาฬิกาเมือง
ขึ้นไปบนชานชลา ระหว่างรอรถไฟฟ้า ก็แอบสังเกตุถนนที่ปกติออกจากบ้านที่ไร ก็ต้องมีแต่รถ ติดยาวเหยียด และแดดร้อนอบอ้าว จะเห็นภาพถนนโล่งๆ ยามสาย บ่าย เย็น ก็ต้องเป็นช่วงวันหยุดยาวๆ เท่านั้นแหละ
บนรถไฟฟ้า ก็แทบจะไม่มีผู้คน ผมไม่รู้หรอกว่า คนที่อยู่บนรถไฟฟ้ายามนี้ เขาต้องทำอะไรบ้าง เขากำลังคิดอะไร และกำลังจะไปไหน รู้แค่ว่า ตอนนี้ตัวเองไม่ต้องรีบเร่ง ไปต้องวุ่นวาย ไม่ต้องลืมโน่นนี่ จึงมีเวลามองโน่นนี่ได้อย่างละเอียดขึ้น มีเวลาให้กับตัวเอง หยิบไอพ๊อดขึ้นมาฟัง เปิดเพลงเบาๆ ก็ให้รู้สึกเพลิดเพลิน ทั้งที่มันก็แค่นั่นรถไฟฟ้า

ถึงสถานีสะพานตากสิน แม่ค้าแม่ขาย กำลังกุลีกุจอตระเตรียมร้านรวง เหมือนจะรีบ แต่ก็ดูไม่ซีเรียส บางก็นั่งพัก ทอดสายตาอย่างอารมณ์ดี ก็เลยไปซื้อขาเย็นกับแม่ค้าติดบันไดรถไฟฟ้าเป็นประเดิม

ถ้าเป็นวันปกติ เวลา 7.33 น. เหมือนเช่นภาพบน ก็คงคึกคักน่าดู เพราะอย่างที่รู้ บางรักก็เป็นหนึ่งในย่านค้าขายที่จอแจวุ่นวาย ถนนก็แคบ ทางเท้าก็เล็ก มีทั้งตลาด มีทั้งป้ายรถเมล์ มีทั้งท่าเรือ น่าเวียนหัวดี
ปกติผมก็ชอบอะไรที่จอแจ (บ้าง) แต่ไม่วุ่นวาย เหมือนเวลาเดินห้างแล้วคนเยอะเป็นหนอน แถมมีเสียงอะไรต่อมิอะไร อย่าง เสียงเพลงเสียงโทรโข่งแต่ละร้าน เสียงคน เสียงจากลำโพงในห้าง แบบนี้สิวุ่นวายอย่างที่ทำให้อารมณ์เสีย แต่อย่างวุ่นวายแบบตลาด กลับรู้สึกชอบ
เช้านี้ร้านรวงยังปิด และปิดเกือบหมดทุกร้านในย่านนี้ ก็เลยรู้สึกแปลกๆ เพราะอย่างที่บอก แทบไม่เคยเห็นเลย


ถนนก็โล่ง สบายใจ...


ปกติก็เห็นผักผลไม้แบบนี้ประจำ แต่ตอนเช้าๆ ได้เห็นอะไรสีสดๆ แบบนี้ก็ดูไม่เลว


ถ้าไม่รีบมาก และได้ไปบางรัก ก็มักแวะซื้อขนมหวานที่มีอยู่สองร้าน ร้านหนึ่งอยู่ซอย อีกร้านก็ดังรูป ส่วนใหญ่จะซื้ออีกร้านนึงมากกว่า เพราะขายในบ้านเก่าๆ ดูขลัง ก็เลยเลือกเอาความขลังไว้ก่อน :-)

มาถึงซอยที่ขายกระเพาะปลาแล้วครับ ซอยนี้อยู่ตรงข้ามตึกสเตรท ทาวเวอร์ ที่ตั้งของโรงแรมเลอบัว และภัตตาคารซิร๊อคโค่ บนดาดฟ้า ร้านกระเพาะปลา เป็นห้องแถวห้องเดียว ขายกระเพาะปลาที่มีสาขาออริจินัลอยู่ที่แถวศาลเจ้าพ่อเสือ แม่บอกว่า ที่นี่ก็จะไปเอากระเพาะปลาจากร้านออริจินัลมาขายที่นี่ ก็คือไม่ได้ปรุงกันที่บางรัก มีหน้าที่ตักใส่ชาม ใส่ถุงขายอย่างเดียว ลูกค้าก็เยอะแยะ เคยมาซื้อกับแม่ครั้งสองครั้ง โหย คิวยาวน่าดู ขายแป๊บเดียวก็หมด
ทว่า วันนี้มาเช้าเกิน มีแต่ร้านเปิดไว้โล้นๆ ไม่มีคน ไม่มีกระเพาะปลา ...อ้าว.... เซ็ง!!

เฮ้อ มาเช้าไปหรือนี่! ได้เราก็นึกว่าเวลานี้เวลาเด็ด อาจจะเป็นคิวแรก ที่ไหนได้ เป็นคิวที่ศูนย์ คืออดแดก -
พี่พลอย จริยะเวช ส่งข้อความมาในเฟสบุ๊ค ว่าอยากทานบ้าง ก็เลยตอบไปว่ามาเช้าเกินไม่มีอะไรขาย พี่ท่านก็ตอบกลับมาว่า งั้นอย่าลืมขนมที่ร้านปั้นลี่ ก็บอกท่านพี่กลับไปว่า ไม่มีอะไรขายน่ะ ไม่ใช่แค่กระเพาะปลา แต่ไม่มีอะไรใดๆ รวมทั้งปั้นลี่ร้านโปรด ที่แต่ก่อนใครผ่านมาแถวนี้ก็มักแวะซื้อคุ๊กกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์มาฝาก (แต่หลังๆ นี้ผมว่ามันไม่ค่อยอร่อย ชิ้นเล็กลง และเม็ดมะม่วงก็น้อยลง ซึ่งก็ผ่านมาหลายปีละ ไม่รู้เดี๋ยวนี้จะเป็นยังไง)
แต่ก็ไม่ไร้ซึ่งอะไรใดๆ ติดมือกลับบ้าน เพราะยังเหลือโจ๊กบางรัก หรือโจ๊ก (โรงหนัง) ปริ๊นซ์ ขายมาตั้งแต่เช้า ผมไม่ค่อยรู้จักโจ๊กร้านนี้หรอก เพราะพ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบโจ๊กใสๆ ชอบโจ๊กข้นๆ แบบโจ๊กตลาดน้อย หรือโจ๊กพาหุรัด แต่ที่นี่แม้โจ๊กจะใส
แต่เขาดังเรื่องหมูสับก้อนชิ้นใหญ่ยักษ์ ที่เอามาหันแบ่งย่อยๆ ได้ 4-5 ชิ้นขนาดปกติที่ร้านโจ๊กอื่นๆ ขายกัน มองดูออฟชั่นจากทางร้าน ผมว่าใส่ตับก็เข้าท่า เพราะดูน่าทานดี แต่บังเอิญผมไม่ทานตับ ก็ผ่านไป
คุณพี่คนขายแต่งตัวแต่งหน้าสีจัดจ้าน อย่างที่บอกตอนดูผักผลไม้ ว่าได้เห็นอะไร สีสดๆ ยามเช้าแบบนี้ก็ดูสบายใจดี คุณพี่ดูเหมือนจะต้องเสียงดัง โวยวาย อารมณ์ร้าย ตามเสื้อผ้าหน้าผม ที่มักคุ้นกันในละครหลังข่าว เรียกว่าตรงตามสูตรตัวร้ายเลยล่ะ จริงๆ กลับยิ้มแย้ม ร่าเริง อารมณ์ดี แม้คนเข้าคิวรอจะเยอะและวุ่นวาย ...เช้านี้มีแต่เรื่องดีๆ เฮะ
ได้โจ๊กใส่ไข่มาสามถุง รสชาติไม่เลวร้าย หมูสับก้อนชิ้นยักษ์ แต่แนะนำให้เอากลับมาอุ่นที่บ้านครับ จะได้ร้อนๆ ทั้งโจ๊กและเนื้อหมู (ร้อนไปถึงข้างในก้อนหมู เนื่องจากหมูสับชิ้นใหญ่ ข้างในเลยไม่ค่อยร้อน แต่ก็สุก) กดภาพถ่ายสุดท้ายก่อนกลับบ้าน จากบนชานชลารถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน รถก็ยังโล่งเช่นเคย
เป็นความสงบ และได้ใช้ชีวิตกับตัวเองจริงๆ อีกครั้ง

No comments: