23 July 2009

นิ่วในถุงน้ำดี กะโรงพยาบาลแย่ๆ

เมื่อวานตอนดึก เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงจนต้องหอบร่างไปหาหมอ ที่โรงพยาบาลเอกชนบนถนนสาทร เพราะไปหาเป็นประจำ

อาการคือปวดใต้ราวนมขวา ปวดมาก ปวดจนอยากอาเจียน อยู่นิ่งๆ ไม่ได้เลย (คนอื่นอาจไม่ได้ปวดแบบผม) คุณหมอที่ห้องฉุกเฉินรีบจับขึ้นเตียง หลังเห็นอาการแย่มากของผมหลังลงทะเบียนคนไข้ ขึ้นเตียงก็แทบจะอยู่ไม่สุก เพราะปวดมาก คุณหมอตรวจและสอบถามอาการ จากนั้นจึงตัดสินใจให้ฉีดยาแก้อาเจียน และยาลดกรด ฉีดเสร็จก็ไม่หาย ปวดท้องต่อไปเรื่อยๆ เดินพล่านอยู่ในห้องคนป่วย พยาบาลก็ตกอกตกใจ
"ใจเย็นๆ ค่ะ อดทนสักยี่สิบนาทีนะคะ" พยาบาลบอก ก็พยายามใจเย็นแต่มันปวดมาก ไม่ใช่เหมือนปวดท้องกระเพาะหรือปวดท้องอาหารเป็นพิษ ก็ยังคงวิ่งพล่าน และพยายามอาเจียน แต่ก็ไม่ดีขึ้น สุดท้ายดิ้นไปมาครบเวลา อาการก็ไม่ดีเลย
คุณหมอกลับมาดูอาการอีกครั้ง ถามว่าจะแอดมิตมั้ย ถ้าแอดมิตก็จะได้ตามดูอาการได้ ตอนเช้าจะได้พบหมอประจำ มิฉะนั้นก็จะให้ยาอีกตัวแรงขึ้น แล้วกลับ ตัดสินใจว่าจะพักที่โรงพยาบาลดีกว่า เพราะยังไม่มีวี่แววจะหายเลย
ตอบตกลงไป เขาก็เอาน้ำเกลือมาเสียบหลังมือ แล้วให้ยาลดกรดเพิ่มอีกเข็ม เจ้าหน้าที่เข็นรถพาขึ้นชั้น 24 บนสุด ได้ห้อง 2408 ไปนอนในห้องก็ยังไม่หายปวด วิ่งไปมารอบห้อง คุณพ่อ คุณแม่ตามมา ดูเขาจะเจ็บกว่าเราเสียอีก สงสารพ่อแม่จับใจ แต่ตอนนี้ก็ทรมานจริงๆ เหมือนกัน ก็เลยดิ้นพราดๆๆๆๆ
ที่สุดคุณหมอเวรก็เข้ามา เห็นอาการ ก็สั่งให้เอายาแก้ปวดที่มีส่วนผสมของมอร์ฟิน และยาอีกขนาดมาให้รวมสองเข็ม ฉีดเข้าไปสักพัก อาการปวดก็ลดลง พร้อมอาการซึมลงเรื่อยๆ รู้สึกเหมือนชาทั่วร่างเพราะฤทธิ์ผงชูรส แรงหมด จะหยิบโทรศัพท์มาดู sms ก็หมดแรง ลืมตาก็เบลอๆ นึกว่าจะคึกคักล่องลอยเสียอีก ว่าแล้วก็หลับไป
เกือบแปดโมงเช้าคุณหมอประจำเข้ามา ขอไม่เอ่ยชื่อละกัน เพราะจะจำไว้จนวันตาย เข้ามาถึงก็ดูอาการ แล้วบอกว่า เอาล่ะคับ "เดี๋ยวให้ไปอัลตร้าซาวนด์นะ เพราะญาติขอให้ทำ" ว่าแล้วก็ออกไป แล้วเจ้าหน้าที่ก็มาพาลงไปอัลตร้าซาวด์
ระหว่างอัลตร้าซาวด์ เขาก็ให้พลิกไปมา ส่องโน่นนี่ ก็ถามว่าพบอะไรมั้ยครับ เข้าหน้าที่การแพทย์ก็ตอบกลับมาว่า "พบนิ่วสองสามก้อนในถุงน้ำดีครับ" เห้อ...อยากจะเป็นลม สิ่งที่ไม่อยากให้เป็นดันเป็นอย่างที่คาด ยังไงล่ะ ต้องผ่าตัดมั้ย ต้องอะไรยังไง เมื่อไหร่ เจ้าหน้าที่บอกว่าคงต้องให้คุณหมอแนะนำ น่านสิ เขาไม่ใช่แพทย์นี่นะ

ขึ้นไปบนห้องอีกครั้ง พยาบาลนำอาหารเช้ามาให้ ก็ถามพยาบาลว่าคุณหมอจะมาเมื่อไหร่ เขาว่า "ตอนบ่ายๆ ค่ะ เพราะหมอมีคนไข้เยอะ" ก็ตามนั้น รอจนเกือบเที่ยง พยาบาลก็นำอาหารกลางวันมาให้ แม่ก็ถามอีก คุณหมอจะมาหรือยัง คำตอบก็ยังคงเป็นบ่ายๆ จนกระทั่งบ่ายโมงกว่า พยาบาลมาเก็บอาหาร แม่ก็ถามอีกว่า แล้วหมอจะมากี่โมง เขาก็บอกอีกเหมือนเดิม บ่ายๆ ค่ะ จนพล่อยหลับไปหนึ่งตื่น
ตื่นขึ้นมาราวสี่โมงเย็น ก็เอ๊ะยังไง มีแต่คนโทรมาถามว่าเป็นอะไรยังไงบ้า ก็ตอบไม่ได้ รู้แค่ว่าเป็นนิ่วในถุงน้ำดี แล้วต้องทำไงอีก ก็ไม่รู้ ไม่ได้เจอหมอตั้งแต่ตอนเจ็ดโมงเช้า ไม่ได้ละ โทรไปถามพยาบาลอีกรอบด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ว่าตกลงคุณหมอจะมากี่โมงครับ นี่สี่โมงเย็นแล้ว ว่าแล้วคุณพยาบาลก็ไปตามให้
วางสายไปสักพัก ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น พยาบาลอยู่ในสายแจ้งว่า ขอให้คุยกับคุณหมอนะคะ ว่าแล้วก็โอนสายให้คุณหมอ "เดี๋ยวเรามาพบกันพรุ่งนี้นะครับ" เอ๊ะยังไง? แล้วให้รอทำไมทั้งวัน "แล้วผมจะต้องทำไงครับคุณหมอ นอนโรงพยาบาลรอคุณหมอตอนเช้าหรอครับ" ผมถาม แล้วคุณหมอก็ตอบว่า "ครับ ก็เป็นอย่างนั้น ผมยังไม่ได้ดูฟิลม์อัลตร้าซาวด์เลย ไว้มาดูพรุ่งนี้กัน"
"อ้าว แล้วทำไมไม่บอกละครับ นี่ผมอยู่รอหมอมาตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ และตอนนี้ผมก็ไม่มีอาการแล้ว จู่ๆ หมอก็มาบอกว่าให้เจอกันพรุ่งนี้ ยังไงล่ะ ผมต้องรอไปเปล่าๆ ฟรีๆ ทั้งวันหรอคับ แล้วถ้าผมกลับบ้านละ เจอกันวันพรุ่งนี้ดีมั้ย เพราะบ้านก็ไม่ไกล" ผมตอบไปอย่างมีอารมณ์พอประมาณ คุณหมอก็บอกว่า งั้นเดี๋ยวผมขอคุยกับพยาบาล
สักพักคุณพยาบาลก็เข้ามา (ซวยละ) แล้วก็บอกว่า คงเป็นการสื่อสารกันผิดพลาดของพยาบาลรอบเช้าค่ะ เพราะเห็นว่าตอนบ่ายหมอมีส่องกล้อง แล้วคงลืม ผมก็ว่าแล้วงัยล่ะ ให้ผมรอกี่ชั่วโมงแล้วต้องมารอต่อไปถึงพรุ่งนี้โดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร คุณไม่คิดค่าห้องผมหรือเปล่าล่
พยาบาลก็ตอบเลี่้ยงๆ ใจเย็นๆ ว่า ก็ต้องโทษนะคะ แต่พยาบาลคิดว่าคุณหมอคงอยากให้ดูอาการอีกคืน ถ้าไม่มีอะไรก็พรุ่งนี้ก็มาดูอาการกัน ผมก็บอกว่า แต่คุณหมอไม่ได้บอกผมเลย หมอหายไปเลย ปกติคนไข้ก็ต้องหวังที่จะฟังอะไรจากหมอ แต่นี่เหมือนโดนทิ้งให้นอนรออยู่ในห้องเปล่าๆ ทั้งวัน ไม่เอาดีกว่า ขอกลับละครับ ...อันที่จริงก็มีบ่น (ด่า) โน่นนี่อีกพอประมาณ แต่เล่าไม่ไหวละ ยาวเกิน
สรุปพยาบาลก็จะไปถามหมอให้ว่าต้องทำอะไรยังไง ครู่ใหญ่ก็กลับมาพร้อมบอกว่า ตกลงงั้นเดี๋ยวคิดค่าบริการนะคะ แล้วก็ให้ยามา แล้วก็ฟิลม์อัลตร้าซาวด์ พร้อมผลเลือด จากนั้นก็ลงไปจ่ายเงิน พร้อมกับคอมเพลนอีกรอบหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จากนั้นก็กลับ ด้วยราคาค่าห้องค่ายาค่าหมอ รวมประมาณ 10,376 บาท (ลดเฉพาะค่าห้องและค่ายา 5% จากบัตรเครดิต และ 5% ที่จำใจลดให้ - เพราะต้องทวง ว่าไม่คิดจะแสดงความรับผิดชอบอะไรบ้างหรอ!)
แต่ที่เจ็บใจที่สุดคือค่าหมอ ห้องฉุกเฉิน และหมอเวร คนละ 300 และ 400 บาท แต่หมอประจำตอนเช้าที่คุยกะเราสองประโยค แล้วหายไป คือ 600 บาท!! ตอนนี้ก็เลยต้องหาโรงพยาบาลใหม่ เพราะเสียความรู้สึกกับการไม่ใส่ใจคนไข้ ทั้งที่เป็นโรงพยาบาลที่ผมไปใช้บริการมาโดยตลอด
เสียชื่อนักบุญคนยากหมดเลย

15 July 2009

เกร็ด หวัด ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดใหญ่ 2009

เมื่อตอนสายของวันนี้ ไปหาคุณหมอที่โรงพยาบาลเซ็นต์หลุยส์ ด้วยอาการคล้ายเป็น หวัด (common cold) คือเจ็บคอ และมีน้ำมูก ที่โรงพยาบาล ผู้ใช้บริการก็คาดหน้ากากกันเป็นส่วนใหญ่ ก็คงด้วยกลัวว่าจะรับเชื้อมากไปกว่าที่เป็นอยู่ เพราะรู้กันดีว่าถ้าคนไม่ป่วย คงไม่ไปโรงพยาบาลหรอก

พบคุณหมอเพื่อวินิจฉัยโรค ก็ตามที่คาดไว้คือสันนิษฐานว่าเป็นหวัด ไม่ได้เป็นไข้หวัดใหญ่ (flu / influenza) ที่ต้องกระแดะพิมพ์อังกฤษ เพราะหลายคนมักจะเข้าใจรวมกันว่า หวัดก็ต้องเป็นไข้หวัด ยิ่งตอนนี้ก็ยิ่งต้องคิดว่าจะเป็นไข้หวัดใหญ่หรือเปล่า เพราะอาการหวัด กะไข้หวัดใหญ่ก็คล้ายกัน

ตรวจอาการเสร็จ คุณหมอก็ถามว่า "มีอะไรอยากถามมั้ยคะ" เดาว่า คนคงสงสัยเรื่องไข้หวัดใหญ่ 2009 กันเยอะ เพราะตอนวินิจฉัยอาการ หมอก็เทียบเคียงกับอาการของไข้หวัดใหญ่ 2009 โดยตลอด ก็เป็นโอกาสดี ที่จะได้ความรู้มาเล่าให้ฟังกัน ดังนี้

คุณหมอแนะนำว่า อาการเริ่มต้นอย่างการเป็นหวัด คือแค่เจ็บคอ หรือมีน้ำมูก มีเสมหะ แบบที่ผมเป็น ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีโอกาสเป็นไข้หวัดใหญ่ แนะนำให้รอดูอาการไปอีก 2-3 วัน จนถึงหนึ่งอาทิตย์ หากไม่มีไข้ขึ้นสูงมาก (คือมากกว่า 38 องศาเซลเซียส) ปวดเมื่อยเนื้อตัวจนแทบจะลุกไปไหนไม่ได้ และไข้ไม่ลด ก็ต้องรีบมาพบแพทย์โดยด่วน ***ควรมีปรอทวัดไข้ติดบ้านกันนะ***

ดังนั้น จึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมหากเพื่อนๆ ในที่ทำงานหรือโรงเรียน ป่วยเป็นแค่หวัด คือเจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก จึงควรคาดผ้าปิดปาก หรือที่ให้ถูกต้อง ควรพักอยู่กับบ้าน ดูอาการ เพราะมีสิทธิเป็นไข้หวัดใหญ่ตามมาได้

เพิ่มเติม: ในคนไข้ ที่เป็นไข้หวัดใหญ่โดยปกติ จะมีอาการควบคู่กันไป คือเจ็บคอ มีน้ำมูก และเป็นไข้ แต่ในบางกรณี อาจไม่มีไข้ในระยะแรกก็ได้

ไม่ควรทานยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อไวรัสเอง หรือยาลดไข้แบบแรงๆ (ในกรณีที่ไม่แน่ใจว่าเป็นไข้หวัดใหญ่) เพราะจะทำให้การวินิจฉัยโรคยาก ในเบื้องต้นควรรักษาตามอาการ เช่นถ้าเป็นหวัดมีไข้ก็ทานยาลดไข้ (แนะนำ พาราเซตามอล 2 เม็ด ในผู้ใหญ่ 1 เม็ดในเด็ก ...ตามที่ผมทราบมา: ไม่ใช่เป็นไข้นิดเดียวขอกินเม็ดเดียว หรือครึ่งเม็ดพอ เพราะต้องรับปริมาณยาตามน้ำหนัก)

ไข้หวัดใหญ่ 2009 ต่างจากไข้หวัดใหญ่ปกติ ตรงที่ไข้หวัดใหญ่ 2009 ติดต่อกันได้ง่ายกว่าไข้หวัดใหญ่ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสไข้หวัดใหญ่ 2009 จึงเป็นที่วิตกกันทั่วโลก ทว่าอาการของการเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 และการรักษาก็ไม่ต่างจากไข้หวัดใหญ่ปกติ

เป็นแค่หวัด ก็มีโอกาสอ่อนเพลีย เมื่อยเนื้อตัว และมีไข้ได้เหมือนกันนะ ...รักษาตามอาการจ้ะ อย่าวิตกจริต

คุณหมอเล่าว่า อาทิตย์นี้ คนไข้วิตกกันน้อยลงกว่าอาทิตย์ที่ผ่านมา อีกทั้งการตรวจพบว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ของคนไข้ที่มารักษามีน้อยกว่าอาทิตย์ที่แล้ว ถึงขนาดที่คุณหมอบอกว่า อาทิตย์ที่ผ่านมา เอาน้ำมูกคนไข้ไปตรวจแทบทุกรายจะเป็นไข้หวัดใหญ่ แต่จะเป็นไข้หวัดใหญ่ 2009 หรือเปล่าคุณหมอบอกว่าไม่ทราบ เนื่องจากต้องตรวจเป็นกรณีๆ ไป เพราะค่าตรวจแพงจริง

และอาทิตย์ที่แล้ว คนไข้ที่มาโรงพยาบาล คาดหน้ากากกันมากกว่าอาทิตย์นี้เสียอีก

ตอนไปหาหมอเมื่อเช้า พยาบาล จะซักอาการละเอียดกว่าปกติ เช่น มีไข้มั้ย เจ็บคอ น้ำมูกไหล ฯลฯ และนอกจากชั่งน้ำหนัก และตรวจความดันปกติ ก็จะให้ปรอทวัดไข้ด้วย เป็นต้น

สำหรับวิธีป้องกันการติดเชื้อเบื้องต้น และข้อมูลไข้หวัดใหญ่ 2009 ผมเคยคิดลอกจากเอกสารเผยแพร่ที่ไปได้มาจากฮ่องกงแล้วครั้งหนึ่ง ย้อนกลับไปอ่านได้ที่ http://kokoichi.blogspot.com/2009/05/human-swine-influenza.html และวิดีทัศน์เรื่องไข้หวัด 2009 http://kokoichi.blogspot.com/2009/06/blog-post.html

07 July 2009

Sunday Morning at BangRak

ปกติเรื่องตื่นเช้า เหมือนเป็นเส้นขนานกับชีวิต ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่อยากตื่นแต่เช้าตรู่ ยิ่้งถ้าให้ออกจากบ้านก็ยิ่งจำเป็นสุดๆ แบบว่าต้องไปทำงาน
คืนวันเสาร์ดื่มไวน์เยอะไปหน่อย แต่แปลกเพราะควรจะหลับไม่ได้สติ ทว่าหลับไปไม่ถึงชั่วโมงก็ตื่น ...แล้วก็ไม่หลับอีกเลย! "เช้าแล้วนิ" ผมบอกกับตัวเอง เพราะแดดเริ่มส่อง เอางัยดีกับชีวิต กลิ้งไปมาอยู่บนเตียงไม่หลับเสียที ก็อย่ากระนั้นเลย ทำไมไม่หาอะไรดีๆ ทำดูบ้าง อะไรบ้าง - ว่าแล้วก็นึกอะไรออกอย่างหนึ่ง ...ใช่แล้วล่ะ ออกไปซื้อกระเพาะปลาบางรักท่าจะดี
ที่คิดแบบนั้นเพราะอย่างที่ทราบว่าหน้าบ้านก็คือสถานีรถไฟฟ้า สถานีที่สามก็เป็นสถานีสะพานตากสิน ซึ่งก็คือ บางรัก ...แน่นอน ตอนนี้อยู่ในระหว่างทดลองใช้บริการ สามสถานีนี้ก็เลยขึ้นลงฟรี จนถึงวันที่ 12 สิงหาคมนี้
ตื่นเช้าคงมีอะไรดีๆ อย่างที่เราไม่เคยได้เจอมาก่อนก็ได้มั้ง (เอ๊ะ ความจริงยังไม่หลับต่างหากนิ!)
สัมผัสแรกที่ปะทะความรู้สึกคือแสงแดดอ่อนๆ ย้อนกลับไปที่จะต้องตื่นเช้าเป็นประจำคือตอนไปโรงเรียน พอขึ้นมหาวิทยาลัย ก็จะต้องตื่นเช้าๆ แค่ปีแรกๆ พอทำงาน ก็ลืมไปเลยว่าตื่นเช้าเป็นอย่างไร
เดินขึ้นบนสถานีรถไฟฟ้าอย่างเรื่อยเปื่อย อาทิตย์เช้าดูไม่ต้องรีบเร่ง เป็นอย่างต่อมาที่รู้สึกได้ว่า ลืมเวลาเรื่อยเปื่อยนี่ไปนานแค่ไหน ...ก็คงตั้งแต่เริ่มทำงานมั้ง อย่างว่า สังคมเมืองก็ทำให้เราต้องเร่งชีวิตตามเข็มนาฬิกาเมือง
ขึ้นไปบนชานชลา ระหว่างรอรถไฟฟ้า ก็แอบสังเกตุถนนที่ปกติออกจากบ้านที่ไร ก็ต้องมีแต่รถ ติดยาวเหยียด และแดดร้อนอบอ้าว จะเห็นภาพถนนโล่งๆ ยามสาย บ่าย เย็น ก็ต้องเป็นช่วงวันหยุดยาวๆ เท่านั้นแหละ
บนรถไฟฟ้า ก็แทบจะไม่มีผู้คน ผมไม่รู้หรอกว่า คนที่อยู่บนรถไฟฟ้ายามนี้ เขาต้องทำอะไรบ้าง เขากำลังคิดอะไร และกำลังจะไปไหน รู้แค่ว่า ตอนนี้ตัวเองไม่ต้องรีบเร่ง ไปต้องวุ่นวาย ไม่ต้องลืมโน่นนี่ จึงมีเวลามองโน่นนี่ได้อย่างละเอียดขึ้น มีเวลาให้กับตัวเอง หยิบไอพ๊อดขึ้นมาฟัง เปิดเพลงเบาๆ ก็ให้รู้สึกเพลิดเพลิน ทั้งที่มันก็แค่นั่นรถไฟฟ้า

ถึงสถานีสะพานตากสิน แม่ค้าแม่ขาย กำลังกุลีกุจอตระเตรียมร้านรวง เหมือนจะรีบ แต่ก็ดูไม่ซีเรียส บางก็นั่งพัก ทอดสายตาอย่างอารมณ์ดี ก็เลยไปซื้อขาเย็นกับแม่ค้าติดบันไดรถไฟฟ้าเป็นประเดิม

ถ้าเป็นวันปกติ เวลา 7.33 น. เหมือนเช่นภาพบน ก็คงคึกคักน่าดู เพราะอย่างที่รู้ บางรักก็เป็นหนึ่งในย่านค้าขายที่จอแจวุ่นวาย ถนนก็แคบ ทางเท้าก็เล็ก มีทั้งตลาด มีทั้งป้ายรถเมล์ มีทั้งท่าเรือ น่าเวียนหัวดี
ปกติผมก็ชอบอะไรที่จอแจ (บ้าง) แต่ไม่วุ่นวาย เหมือนเวลาเดินห้างแล้วคนเยอะเป็นหนอน แถมมีเสียงอะไรต่อมิอะไร อย่าง เสียงเพลงเสียงโทรโข่งแต่ละร้าน เสียงคน เสียงจากลำโพงในห้าง แบบนี้สิวุ่นวายอย่างที่ทำให้อารมณ์เสีย แต่อย่างวุ่นวายแบบตลาด กลับรู้สึกชอบ
เช้านี้ร้านรวงยังปิด และปิดเกือบหมดทุกร้านในย่านนี้ ก็เลยรู้สึกแปลกๆ เพราะอย่างที่บอก แทบไม่เคยเห็นเลย


ถนนก็โล่ง สบายใจ...


ปกติก็เห็นผักผลไม้แบบนี้ประจำ แต่ตอนเช้าๆ ได้เห็นอะไรสีสดๆ แบบนี้ก็ดูไม่เลว


ถ้าไม่รีบมาก และได้ไปบางรัก ก็มักแวะซื้อขนมหวานที่มีอยู่สองร้าน ร้านหนึ่งอยู่ซอย อีกร้านก็ดังรูป ส่วนใหญ่จะซื้ออีกร้านนึงมากกว่า เพราะขายในบ้านเก่าๆ ดูขลัง ก็เลยเลือกเอาความขลังไว้ก่อน :-)

มาถึงซอยที่ขายกระเพาะปลาแล้วครับ ซอยนี้อยู่ตรงข้ามตึกสเตรท ทาวเวอร์ ที่ตั้งของโรงแรมเลอบัว และภัตตาคารซิร๊อคโค่ บนดาดฟ้า ร้านกระเพาะปลา เป็นห้องแถวห้องเดียว ขายกระเพาะปลาที่มีสาขาออริจินัลอยู่ที่แถวศาลเจ้าพ่อเสือ แม่บอกว่า ที่นี่ก็จะไปเอากระเพาะปลาจากร้านออริจินัลมาขายที่นี่ ก็คือไม่ได้ปรุงกันที่บางรัก มีหน้าที่ตักใส่ชาม ใส่ถุงขายอย่างเดียว ลูกค้าก็เยอะแยะ เคยมาซื้อกับแม่ครั้งสองครั้ง โหย คิวยาวน่าดู ขายแป๊บเดียวก็หมด
ทว่า วันนี้มาเช้าเกิน มีแต่ร้านเปิดไว้โล้นๆ ไม่มีคน ไม่มีกระเพาะปลา ...อ้าว.... เซ็ง!!

เฮ้อ มาเช้าไปหรือนี่! ได้เราก็นึกว่าเวลานี้เวลาเด็ด อาจจะเป็นคิวแรก ที่ไหนได้ เป็นคิวที่ศูนย์ คืออดแดก -
พี่พลอย จริยะเวช ส่งข้อความมาในเฟสบุ๊ค ว่าอยากทานบ้าง ก็เลยตอบไปว่ามาเช้าเกินไม่มีอะไรขาย พี่ท่านก็ตอบกลับมาว่า งั้นอย่าลืมขนมที่ร้านปั้นลี่ ก็บอกท่านพี่กลับไปว่า ไม่มีอะไรขายน่ะ ไม่ใช่แค่กระเพาะปลา แต่ไม่มีอะไรใดๆ รวมทั้งปั้นลี่ร้านโปรด ที่แต่ก่อนใครผ่านมาแถวนี้ก็มักแวะซื้อคุ๊กกี้เม็ดมะม่วงหิมพานต์มาฝาก (แต่หลังๆ นี้ผมว่ามันไม่ค่อยอร่อย ชิ้นเล็กลง และเม็ดมะม่วงก็น้อยลง ซึ่งก็ผ่านมาหลายปีละ ไม่รู้เดี๋ยวนี้จะเป็นยังไง)
แต่ก็ไม่ไร้ซึ่งอะไรใดๆ ติดมือกลับบ้าน เพราะยังเหลือโจ๊กบางรัก หรือโจ๊ก (โรงหนัง) ปริ๊นซ์ ขายมาตั้งแต่เช้า ผมไม่ค่อยรู้จักโจ๊กร้านนี้หรอก เพราะพ่อกับแม่ไม่ค่อยชอบโจ๊กใสๆ ชอบโจ๊กข้นๆ แบบโจ๊กตลาดน้อย หรือโจ๊กพาหุรัด แต่ที่นี่แม้โจ๊กจะใส
แต่เขาดังเรื่องหมูสับก้อนชิ้นใหญ่ยักษ์ ที่เอามาหันแบ่งย่อยๆ ได้ 4-5 ชิ้นขนาดปกติที่ร้านโจ๊กอื่นๆ ขายกัน มองดูออฟชั่นจากทางร้าน ผมว่าใส่ตับก็เข้าท่า เพราะดูน่าทานดี แต่บังเอิญผมไม่ทานตับ ก็ผ่านไป
คุณพี่คนขายแต่งตัวแต่งหน้าสีจัดจ้าน อย่างที่บอกตอนดูผักผลไม้ ว่าได้เห็นอะไร สีสดๆ ยามเช้าแบบนี้ก็ดูสบายใจดี คุณพี่ดูเหมือนจะต้องเสียงดัง โวยวาย อารมณ์ร้าย ตามเสื้อผ้าหน้าผม ที่มักคุ้นกันในละครหลังข่าว เรียกว่าตรงตามสูตรตัวร้ายเลยล่ะ จริงๆ กลับยิ้มแย้ม ร่าเริง อารมณ์ดี แม้คนเข้าคิวรอจะเยอะและวุ่นวาย ...เช้านี้มีแต่เรื่องดีๆ เฮะ
ได้โจ๊กใส่ไข่มาสามถุง รสชาติไม่เลวร้าย หมูสับก้อนชิ้นยักษ์ แต่แนะนำให้เอากลับมาอุ่นที่บ้านครับ จะได้ร้อนๆ ทั้งโจ๊กและเนื้อหมู (ร้อนไปถึงข้างในก้อนหมู เนื่องจากหมูสับชิ้นใหญ่ ข้างในเลยไม่ค่อยร้อน แต่ก็สุก) กดภาพถ่ายสุดท้ายก่อนกลับบ้าน จากบนชานชลารถไฟฟ้า สถานีสะพานตากสิน รถก็ยังโล่งเช่นเคย
เป็นความสงบ และได้ใช้ชีวิตกับตัวเองจริงๆ อีกครั้ง