12 August 2009

สุขสันต์วันแม่

วันที่ผมแอดมิตฉุกเฉินด้วยอาการปวดถุงน้ำดีอย่างหนัก คุณแม่ และคุณพ่อ ก็พุ่งออกจากบ้านมาโรงพยาบาลทันที แม้ตอนนั้นจะเป็นเวลาสี่ห้าทุ่มแล้วก็ตาม
เห็นอาการปวดท้องของผม คนที่แสดงออกมากที่สุดแน่นอนว่าคือคุณแม่ ส่วนคุณพ่อก็ตามสไตล์คุณพ่อ ก็คือไม่ค่อยแสดงออกนัก แต่รู้ได้ด้วยการกระทำของพ่อเสมอ
โตแล้ว ก็ไม่ค่อยได้จับมือแม่ตอนเดินเล่น แต่ตอนที่ปวดท้องทรมานแบบว่าทนไม่ไหวแล้ว แม่ยื่นมือมาใกล้ให้จับ สัมผัสจากมือแม่ตอนนั้น รู้สึกได้ทันทีถึงความเป็นห่วง และรู้สึกได้ว่าแม่ทรมานไม่แพ้ลูก เป็นมือที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่ได้สัมผัสมา แม้มือแม่ตอนนี้อาจจะไม่ตึงเหมือนตอนผมยังเด็ก แต่ความอบอุ่นยังมากมายเช่นเดิม อาจจะเป็นเพราะผมชอบจับมือควงแขนแม่มาตั้งแต่เด็กจนถึงมัธยม จนคนที่เขินที่จะควงด้วยน่ะ คุณแม่ผมเอง นั่นทำให้ผมจำความรู้สึกที่เคยจับมือแม่เมื่อครั้นยังเด็กได้ดี
วันที่ผมเข้าผ่าตัด ยิ่งเห็นถึงความห่วงใยของแม่ เพราะวันนั้น แม่ที่เป็นความดันอยู่แล้ว วันนั้นความดันสูงขึ้นกว่าปกติมากจนเวียนหัว กว่าความดันจะลงสู่ระดับปกติ ก็คือวันที่ผมออกจากโรงพยาบาล
คนที่รอผมตั้งแต่เริ่มเข้าห้องผ่าตัด รอจนกระทั่งผมออกมาจากห้องผ่าตัด ก็คือคุณแม่ คุณแม่เดินตามไปส่งผมเข้าห้องผ่าตัด ลูบหัวไปตลอดทาง ตอนนั้นผมไม่ค่อยรู้เรื่อง ภายหลังน้าสาวที่ตามมาด้วยกับแม่ เล่าว่าแม่ร้องไห้ไปตลอดทางที่ส่งผมเข้าห้องผ่าตัด ทั้งที่รู้ว่าผ่าตัดนี้ไม่ได้อันตรายเลย
ที่จำได้ชัดคือตอนออกจากห้องผ่าตัด คนแรกที่เข้ามาหาผม เข้ามาลูบหัวผมก็คือคุณแม่ และเป็นอีกครั้งที่ได้จับมือคุณแม่ แม่พูดซ้ำไปมาว่าเพียงว่า "เป็นยังไงบ้าง เจ็บมั้ย" น้ำตาแม่ก็ไหลออกมา
แม่ลูบหัว สัมผัสจากมือแม่ เหมือนได้กลับไปเป็นเด็ก ได้หวนระลึกถึงความรักของแม่ ที่มีต่อลูก ความรักแบบที่มีแต่การให้ และให้ตลอดไป
อาจเป็นเรื่องธรรมดาในวันหนึ่ง แต่เป็นเวลาที่พิเศษสุดๆ สำหรับผม ที่ได้สัมผัสถึงความห่วงใยอันยิ่งใหญ่ของ แม่ อีกครั้ง

No comments: