08 August 2009

ประสบการณ์ผ่าตัด (ตอนที่ 2)

เช้าวันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม เดินทางไปถึงโรงพยาบาลเกือบ 8 โมง เพราะต้องตรวจร่างกายก่อนผ่าตัดตามเวลาที่คุณหมอนัดไว้คือบ่าย 3
เดินเข้าไปติดต่อเจ้าหน้าที่พ้องพักเพื่อเช็คอิน แล้วออกมาที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสตรงข้ามประตูจองห้องพัก เพื่อเซ็นเอกสารสำหรับผ่าตัด จากนั้นพยาบาลจึงพาไปเอ็กซ์เรย์ปอด รอเอ็กซ์เรย์นานทีเดียว แต่เอ็กซ์เรย์แป๊บเดียวเอง แล้วก็กลับมานั่งที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสอีกรอบ เพื่อรอพยาบาลนำไปห้องพักผู้ป่วย
ห้องพักอยู่ชั้น 12 ห้อง 1211 ชั้นบนสุดของตึกผู้ป่วย สงสัยว่าคงถูกโฉลกกับที่สูงๆ เพราะตอนที่แอดมิตโรงพยาบาลเดิม ก็อยู่ชั้น 20 ชั้นบนสุดของตึกผู้ป่วยของโรงพยาบาลนั้นเช่นกัน
ห้องพักเล็กจิ๋ว ยิ่งเทียบกับโรงพยาบาลเดิมที่เพิ่งไปใช้บริการก่อนนี้ราวสัปดาห์ ไม่มีไมโครเวฟ ไม่มีกระติกน้ำร้อนไฟฟ้า ทีวีก็ไปซุกไว้ใกล้ทางออก เตียงคนไข้ และโซฟาของคนเฝ้าไข้อยู่อีกมุมหนึ่ง ดูทีวีก็ต้องชะเง้อกันเลยทีเดียว
ก่อนทานข้าวเช้า พยาบาลนำเครื่องตรวจคลื่นหัวใจมาตรวจถึงเตียง จากนั้นก็เป็นเวลาระทึกขวัญ นั่นคือการเจาะเลือด เพราะผมเป็นคนที่กลัวเข็มที่สุดในโลก ลำพังดูหนังที่มีฉากเข็มจิ้มยังดูไม่ได้ หลับตาตลอด คราวนี้จะต้องมาจิ้มกันแต่เช้า โอ้ยยย ทำไงๆ
พยาบาลบอกว่าจะเจาะเข็มฝังน้ำเกลือ และดูดเลือดจากรูเจาะเลยทีเดียว จะได้ไม่ต้องเจาะหลายรอบเจ็บตัวเปล่าๆ ผมก็ว่าดี เจาะน้อยๆ ยิ่งดี ไม่ชอบเลย ก็แนะนำพยาบาลไปว่าเจาะตรงหลังมือสิ เห็นชัดดี แอดมิตคราวที่แล้วพยาบาลเขาก็เจาะตรงนี้ทีเดียวอยู่ แต่คุณพยาบาลเห็นว่าที่ข้อมือเส้นเลือดชัดกว่า (และอาจจะทำให้ขยับมือได้สะดวกกว่าด้วย) ว่าแล้วก็ตบๆ แปะๆ ที่ข้อมือสักครู่ แล้วก็เอาเข็มจิ้มลงไป รู้สึกเจ็บหน่วงๆ ถึงตอนนี้ก็หลับตาปี๋ ในใจก็คิดว่าเสร็จยังๆๆๆๆ ...เอ๊ะ ทำไมนาน ยังไม่เสร็จสักที หันกลับไปมอง อ้าว เอาเข็มออกมาแล้วนิ สรุป หาเส้นไม่เจอ ...เวรกรรม!
จากนั้นพยาบาลก็กลับมาจุดเดิม คือหลังมือเหมือนที่แนะนำไปแต่แรก จิ้มคราวนี้ พยาบาลก็เหมือนลังเลเล็กน้อย ไอ้เราก็ใจแป้ว จะต้องโดนจิ้มอีกมั้ย ความกลัวก็มากขึ้น - จิ้มจึก! และควานหา คราวนี้ก็ได้ผล หาเส้นเจอ ว่าแล้วคุณพยาบาลก็ดูดเลือดเพื่อนำไปตรวจ แต่ปัญหายังไม่จบแค่นั้น เพราะตอนนี้เกิดอาการกลัวมาก ทำให้เลือดที่ได้น้อย และเป็นฟอง
ทำไงดีล่ะ พยาบาลอีกคนบอกว่าเลือดไม่พอตรวจ ว่าแล้วก็ต้องมาเจาะเลือดที่ข้อพับแขน เพื่อให้ได้เลือดเพิ่ม สรุป ตรูโดนแทงไปสามเข็ม มากกว่าไอ้ที่บอกว่าแทงทีเดียว เจ็บทีเดียวสามเท่า แถมยังได้เข็มคามือไว้ตั้งแต่เช้า หมดโอกาสไปแรดไหน เห้อ! กลัวอะไร ก็มักได้อย่างนั้นเสมอเลยจริงๆ นะ
และด้วยความที่เจาะไปถึงสามเข็ม สติก็เลยแตก ความกลัวขึ้นหัวขึ้นหู ส่งผลให้เกิดอาการที่เรียกว่า 'กลัวจนตัวสั่น' มือไม้ ปากเปิก หนาวสั่นไปหมด จนต้องขอผ้าห่มมาห่มคลายความสั่นกลัว ใช้เวลานานจนอาหารเช้าที่นำมาเสิร์ฟเย็นชืด ต้องยกออกไปอุ่นใหม่
ทานข้าวเช้าเสร็จ ก็ได้เวลาขึ้นป้าย 'งดน้ำและอาหาร' จนกระทั่งตอนเที่ยง พยาบาลเข้ามาต่อน้ำเกลือเข้ารูเข็มที่เจาะไว้เมื่อเช้า และแจ้งว่าราวบ่ายสองจะมีเจ้าหน้าที่มารับตัวไปห้องผ่าตัด ...ว่าแล้วก็เริ่มเครียด ยิ่งมีเวลาว่างก็ยิ่งคิด ยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด เพราะไม่เคยผ่าตัดมาก่อนในชีวิต ทางแก้ของผมก็คือหาอะไรทำ อย่างเช่น อ่านหนังสือ พอมีสมาธิกับการอ่าน ก็เริ่มไม่ฟุ้งซ่าย ลืมเรื่องการผ่าตัดไปได้
กระทั่งบ่ายสอง พยาบาลนำยาแก้ปวดมาฉีดให้หนึ่งเข็ม ตอนยาเข้าเส้นเนี่ยะ ปวดๆ แสบๆ ที่มือและข้อมือ สักพักหนึ่งก็เริ่มเบลอ มึนๆ งงๆ ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ก็จับผมย้ายไปที่เตียงเข็น เพื่อไปยังห้องรอผ่าตัด
ณ ห้องรอผ่าตัด ก็นอนมึนๆ ไปเรื่อยๆ กระทั่ง เอ๊ะ นานไปมั้ยนะ ไอ้เราก็ตื่นเต้น (ไม่เครียด ไม่กลัวละ) จนเริ่มได้สติกลับคืนมา เจ้าหน้าที่ก็พาไปยังห้องผ่าตัด 'OR4' หรือห้องผ่าตัดหมายเลขสี่
ห้องผ่าตัดไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หรืออย่างที่เห็นในภาพยนตร์ เพราะเป็นห้องสีขาวสะอาดตา โล่งๆ มีเตียงผ่าตัดขนาดพอดีตัว กระดุกกระดิกเป็นอันตกเตียง มีแกนขนาดใหญ่เหนือเตียง ที่แขนขาเป็นเครื่องมือแพทย์และไฟผ่าตัด ข้างๆ มีเครื่องมือแพทย์ขนาดใหญ่อยู่สามสี่ชิ้น ที่พนังห้องมีช่องใส่อุปกรณ์แพทย์ปลอดเชื้อ ฯลฯ อย่างกะอยู่ในหนัง Resident Evil
ขยับไปนอนบนเตียงผ่าตัด แล้วเจ้าหน้าที่ก็จับแขนซ้ายที่มีสายน้ำเกลือกางออก แขนขวาล็อกไว้กับเตียง และพันด้วยเครื่องวัดความดัน หน้าอกแปะเครื่องวัดการเต้นหัวใจ สักครู่วิสัญญีแพทย์ก็เข้ามา ชวนคุยโน่นนี่ ไอ้เราก็คุยคิกคัก ร่าเริง ระหว่างนั้นหมอก็ให้ยาแก้ปวดอีกเข็ม ก็เริ่มมึนๆ งงๆ อีกครั้ง หมอบอกว่านี่ไม่ใช่ยาสลบนะ แต่จู่ๆ ก็สิ้นสติไปตอนไหนไม่รู้ รู้แค่ว่าก่อนที่สติจะหายไป เหลือบดูเวลา 15.45 น...

No comments: