22 April 2010

ถุงพลาสติกใบละบาท

นายพรเทพ เตชะไพบูลย์ รองผู้ว่ากรุงเทพมหานคร(กทม.) เป็นประธานการประชุมความร่วมมือเพื่อส่งเสริมลดปริมาณมูลฝอย ลดใช้ถุงพลาสติก ลดโลก โดยเชิญหน่วยงานทั้งจากภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมประชุมเพื่อเตรียมการจัดงานแถลงข่าวและลงนามความร่วมมือ ( MOU) ในวันที่ 22 เม.ย. บริเวณสวนสาธารณะจตุจักร

เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันลดภาวะโลกร้อน ด้วยการดำเนินโครงการ 45 วัน โดยมีสาระสำคัญในการดำเนินการร่วมกัน 3 ข้อ คือ 1.ดำเนินการประสานงานและสนับสนุนกิจกรรมที่นำไปสู่การลดใช้ถุงพลาสติกอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน 2.ร่วมกันเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการลดการใช้ถุงพลาสติกไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและประชาชนทั่วไป และ 3.ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อให้ความร่วมมือเกี่ยวกับการลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างต่อเนื่อง

อยากขอความร่วมมือกับทางห้างสรรพสินค้าหรือห้างค้าปลีก โดยเก็บค่าถุงใบละ 1 บาท ซึ่งจะเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนลดการใช้ถุงพลาสติก และลดต้นทุนของผู้ประกอบการ เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้มาตรการภาษีถุงพลาสติก โดยต้องประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ของการดำเนินการดังกล่าว ว่าเป็นการลดต้นทุนการผลิตถุง และเป็นการช่วยลดปริมาณขยะพลาสติกซึ่ง กทม. ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บและกำจัดถึง 1.78 ล้านบาท/วัน จากปริมาณถุงพลาสติกที่มีประมาณ 1,800 ตัน/วัน หรือร้อยละ 21 ของปริมาณขยะที่กทม.จัดเก็บได้ทั้งหมด 8,900 ตัน/วัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมได้หารือกันอย่างกว้างขวางถึงประเด็นการจ่ายค่าถุงพลาสติก 1 บาท ว่าอาจจะทำให้ประชาชนรู้สึกไม่พอใจ และไม่ยินดีจ่าย อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมได้มีการสรุปผลว่า อาจจะมีการชักจูงประชาชนโดยการขอความร่วมมือ ในการลดใช้ถุงพลาสติก หรือถ้ามีความจำเป็นต้องใช้ถุงจริงๆ ก็อาจจะเป็นเงินบริจาคให้กับมูลนิธิชัยพัฒนา ในลักษณะ โครงการ “ 1 บาท เพื่อพ่อหลวง ” หรือ หันมาใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติกไปเลย ก็น่าจะดี ซึ่งจะมีการรณรงค์ตามห้างฯ อย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่ 5 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันสิ่งแวดล้อมโลกด้วย

(ข่าวจาก http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=443836)


เพิ่มเติม: ตอนนี้มีห้างสรรพสินค้า และร้านค้าขนาดใหญ่เข้าร่วมโครงการนี้ 21 แห่ง ซึ่งจริงๆ หลายประเทศในยุโรปก็ทำกันเป็นปกติไปแล้ว และล่าสุดเมื่อปีที่แล้วที่ฮ่องกง คิดถุงละ 50 เซ็นต์ ซึ่งก็ดี เพราะทำให้เรารู้สึกว่า ควรจะเอาถุงผ้าที่เคยฮิตแจกกันจนเป็นขยะในบ้าน มาใช้ได้แล้ว

No comments: