30 March 2009

ขายเหล้าสงกรานต์

หัวข่าวและเนื้อหาบางส่วนจากไทยรัฐออนไลน์เมื่อครู่
(อ่านเนื้อหาเต็มๆ ได้ที่ http://www.thairath.co.th/onlineheadnews.html?id=130455)
คอเหล้าเฮ!มาตรการห้ามขาย เทศกาลสงกรานต์แท้ง [30 มี.ค. 52 - 16:01]
พล.ต.สนั่น ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ แถลงว่าที่ประชุมเห็นชอบให้ออกร่างประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อเป็นของขวัญกับประชาชน เรื่องกำหนดวันเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2552 โดยห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนา ตามที่ ครม.ประกาศกำหนดให้เป็นวันหยุดราชการ ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา และวันเข้าพรรษา ขณะที่วันสงกรานต์ในปี 2552 ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเริ่มต้นเข้มงวดในการรณรงค์ห้ามดื่มสุราอย่างเต็มที่ และจะมีการประเมินผลจากอุบัติเหตุจากการดื่มสุรา โดยหากไม่ลดลงก็จะพิจารณาออกมาตรการพิเศษอย่างเข้มงวดขึ้นมาอีก นอกจากนี้ ยังจะออกมาตรการเสริมกับการห้ามดื่มสุราใน หรือ บนยานพาหนะ โดยห้ามดื่มสุราระหว่างขับขี่หรือซ้อนรถจักรยานยนต์ และห้ามดื่มสุราใน หรือ บนท้ายรถกระบะระหว่างเล่นสงกรานต์ โดยไม่ต้องเสนอเป็นมติ ครม.
อยากบอกว่าดีใจที่ไม่ต้องมีมติดัจจริตห้ามงดดื่มและขายเหล้าเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ หรือปีต่อๆ ไป โดยส่วนตัวไม่เห็นว่ามันจะช่วยแก้ไขอะไร โอเคล่ะว่า มันคงช่วยให้ลดอุบัติเหตุลงได้แน่นอน แต่ถามว่าคนก็ยังคงดื่ม คนก็ยังคงซื้อ และคนขายก็ยังขาย ทั้งจะเปิดเผยหรือแอบๆ หรือเปล่า - แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว ง่ายๆ เลยก็อาจจะซื้อตุนไว้ หรือซื้อกับร่านโชห่วย เอาอะไรมากล่ะ วันนี้และวันก่อนนี้ เด็กต่ำกว่า 18 - 20 ปี ก็ยังสูบบุหรี่ ก็ยังไปเที่ยวผับบาร์ ก็ยังทำอะไรต่างๆ นานาที่ผู้ใหญ่ห้ามไว้ได้อย่างไม่ยากเย็น เพียงแต่ไม่เป็นข่าวก็เท่านั้น
ที่บอกว่าเป็นข้อเสนอดัดจริต ก็มาจากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นนี่แหละ แปลกใจว่าคนไทย บอกว่าเป็นเมืองพุทธ คนพุทธ ถ้าเช่นนั้นจริง ทำไมไม่ห้ามดื่มเหล้าไปเลย เหมือนประเทศมุสลิมที่เคร่งๆ เสียล่ะ ทั้งที่การดื่มเหล้าก็เป็นข้อห้ามในศีลห้า อันเป็นพื้นฐานของศีลธรรมชาวพุทธอยู่แล้ว (เอาอะไรมาก คุณสนั่นยังเป็นนักดื่มไวน์ และยังขายไวน์ยี่ห้อส่วนตัวเลย)
แต่กลับปล่อยให้ชาวพุทธดื่มเหล้ากันเป็นเรื่องปกติ ถึงขั้นเกรงใจ กระทั่งวันหนึ่งถึงคิดได้ว่า ขอล่ะ วันพระใหญ่ ขอความร่วมมืองดขายและดื่มเหล้า ...เป็นงั้นไป
ทั้งที่อยากให้เป็นเมืองพุทธ กระทั่งเรียกร้องเพิ่มในรัฐธรรมนูญว่าเป็นศาสนาประจำชาติ แต่เรื่องดื่มเหล้าซึ่งผิดศีลชาวพุทธ ก็ยังคงไม่ใช่เรื่องจริงจังในการไม่ให้ดื่ม กระทั่งบริษัทสุราจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ก็หาว่าจะยิ่งมอมเมาประชาชน ก็ประท้วงโน่นนี่ ...โถ.....
ผมไม่ได้มีส่วนได้เสียใดๆ กับบริษัทขายเหล้า แต่ก็ดื่มเหล้า ชอบดื่ม และไม่ได้ขับรถ ไม่ได้ไปหนักหัวใคร แต่ผมมองในความเป็นจริงของสังคมไทย ไม่ได้เป็นผู้บริหารรถเมล์ แต่ไม่ขึ้นรถเมล์ ก็คงไม่มีวันรู้ถึงหัวอกคนขึ้นรถเมล์ ซึ่งก็เหมือนกันกับสังคมไทย เป็นสังคมขี้เกรงใจ เป็นสังคมยกย่องคนเป็นใหญ่เป็นโต และเหล่าอภิสิทธ์ชนมากกว่าความสามารถ ดังนั้นการแอบๆ ซื้อ แอบๆ ดื่มเหล้า ก็ยังเป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติในสังคมไทย ขึ้นอยู่กับว่าใครเส้นใหญ่
พูดเรื่องเส้นใหญ่ ก็ย้อนมาถึงเรื่องข้อเสนอห้ามขายหรือดื่มเหล้า เชื่อสิว่าก็จะกลายเป็นอีกหนึ่งให้เหล่าผู้มีอำนาจ (มืด) นำมาเป็นอีกหนึ่งข้อเรียกร้องสิ่งตอบแทนที่ไม่เปิดเผย สิ้งตอบแทนที่ต้องยิ่นให้กันใต้โต๊ะ เหมือนกับที่เวลาทำผิดกฎจราจร ก็จะให้ค่าน้ำร้อนน้ำชา เป็นเรื่องปกติ ที่ใครๆ ก็พูดกันในสังคมไทย
จึงเป็นเหตุว่า นอกจากจะเป็นข้อเสนอดัจจริตแล้ว สังคมไทยเองก็ยังเป็นสังคมดัจจริต แบบผักชีโรยหน้า หรือไฟไหม้ฟาง เฮกันเรื่องไหน ก็ฮือกันเรื่องนั้น พอเบื่อ พอไม่อินเทรนด์ก็เงียบหาย
ดูอย่างจตุคามที่ผมไม่เคยคิดว่าสิ่งนั้นคือสิ่งบูชา แต่คือสินค้าที่หากินกับความเชื่อ และความดัจจริตของสังคมไทย

No comments: